Saturday, July 30, 2011

・Shanghai ・ Three

เข้าวันที่สองกันแล้วค่ะ วันนี้เรา slow life กันมากๆ
เพราะลูกทัวร์ตื่นสายจัด นอนยาวถึงบ่ายโมงทีเดียว
กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็เลยเฉียดๆบ่ายสอง

มื้อเช้าวันนี้ เราทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปง่ายๆกันค่ะ
ที่เจ้าของบล๊อกเลือกมาเป็นบะหมีแห้ง แต่ก็มีน้ำซุปแยกมาให้ด้วย




เส้นบะหมี่ที่นี่ก็แปลกดีค่ะ เป็นเหมือนเส้นบะหมี่ 3 เส้นต่อกัน ส่วนรสชาติก็จืดๆ เค็มๆ มีเปรี้ยวจากผักดองสีเขียวๆนิดหน่อย




ออกจากโรงแรมเราก็ไป People square เพื่อที่จะไป Shanghai museum ค่ะ แต่รู้สึกว่าจะขึ้นมาผิดด้าน เราเลยมาโผล่ที่ People garden แต่ก็ไม่เป็นไร ถือโอกาสเดินเล่นในสวนไปพลางๆ ในสวนนี้มีพิพิธภัณฑ์ แล้วก็ร้านอาหารด้วยค่ะ ส่วนที่เป็น Hi-light จริงๆ ก็น่าจะเป็นสระบัวกลางสวน มีคนมานั่งเล่น ถ่ายรูปกันอยู่เต็มเลยเลย แอบเห็นคุณลุงคุณป้ามาเดทกันหลายคู่เลยล่ะ




นอกจากนี้ในสวนเค้ายังมีเครื่องเล่นด้วยนะ สังเกตว่าถึงอากาศจะร้อน แต่คนที่นี่เค้าก็นิยมมาสวนกันค่ะ เหมือนเป็นศูนย์กลางนะ มาเจอเพื่อน มาถ่ายรูป มานั่งเล่น มาทำกิจกรรมกัน




ใช้เวลาอยู่ในสวนพอสมควร เดินออกมาก็เจอร้านทาร์ตไข่ เลยแวะซื้อซะหน่อย กินแกล้มกับชาไข่มุก อร่อยดีค่ะ




เดินมาจนถึงหัวมุมถนน เจอแล้วค่า Shanghai museum อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นมาแต่ไกลเลย กะว่าเดี๋ยวจะข้ามถนนไปตอนที่เดินถึงด้านหน้าแล้ว แต่ปรากฏว่า...


เค้าห้ามข้ามค่ะ เนื่องจากเป็นถนนใหญ่ ต้องข้ามจากหัวถนนเท่านั้น ฮือ... ก็เลยต้องเดินต่อไป ให้ถึงหัวถนนอีกฝั่งค่ะ



เจอคนใส่ couple tee ด้วยล่ะ น่ารักดี ที่นี่ก็ไม่แพ้เกาหลีนะเนี่ย




ผ่าน Grand Theater ด้วยล่ะ ตอนนี้เขากำลังแสดง Mama Mia กันอยู่ เขาว่าใช้เงินสร้างไปถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยที่เดียวค่ะ




ข้ามฝั่งมาได้แล้วจ้า ที่เห็นล่องลอยอยู่บนฟ้าเป็นว่าวปลาหมึกนะคะ เห็นอย่างนั้น พอเอาลงมาแล้วเป็นว่าวตัวใหญ่มากค่ะ ใหญ่เท่าๆคนเลยเน่อ




เดินมาอีกหน่อยก็มีคนกำลังให้อาหารนกกันค่ะ เจ้าของบล๊อกอยากเล่นบ้าง เลยไปซื้ออาหารนกมา ถามอยู่นานว่าเท่าไหร่ก็ไม่บอก ดึงแบงค์ 10 หยวนไปจากมือเราเฉย แล้วก็ทอนมา 5 หยวน พร้อมกับให้อาหารนกมา 5 ซอง คือ เค้าอยากได้ซองเดียวเองง่าาาาา แต่เหนื่อยเจรจา เลยเอาวะ กินกันให้ท้องแตกไปเลยแล้วกัน




กว่าจะผ่านตรงนี้มาได้ ก็ใช้เวลาอีกพอสมควร เพราะลูกทัวร์อยากถ่ายรูปนกที่กำลังกางปีกโผบินให้ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ฮ่า...

เดินมาจนถึงหน้า museum ตอน 4 โมงนิดๆ ปรากฏว่า "ปิด" ค่ะ คือ museum เนี่ย เค้าปิด 5 โมง แต่ให้เข้ารอบสุดท้ายได้ 4 โมงเย็น จุดนั้นโกรธลูกทัวร์จนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ลูกทัวร์หันมาถามว่าเอาไงต่อ ก็แบบ.. ไม่รู้โว้ยยยยย

สุดท้ายตกลงกันว่าจะไป xintiandi ออกจาก subway มาได้ ลูกทัวร์เดินไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปไหนกัน ต้องหาที่นั่ง ก็เลยคิดว่า อ่ะ งั้นก็กินข้าวเย็นแล้วกัน

เปิดไกด์บุคมา ได้ร้านนี้ค่ะ Guyi Hunan Restaurant คือหลังจากที่เซ็งๆมาทั้งวัน ร้านนี้ช่วยให้ fin ได้ค่ะ
อาหารอร่อยมากกกกก recommend dish เป็นพวกหม้อไฟ ซึ่งโต๊ะเจ้าของบล๊อกได้สั่งหม้อไฟซี่โครงหมูมา ซี่โครงหมูนุ่มสุดๆ ใช้ตะเคียบคีบหลุดอ่ะค่ะ ละลายในปากของจริง

แมงกระพรุนก็อร่อยมาก เย็นๆ เปรี้ยวนิดๆ กรุบๆ สดชื่นดีค่ะ

อีกสองจานเป็นปลาทอดซีอิ๊ว หวานๆ กรอบๆ กับผัดรากบัวค่ะ

ราคาปานกลางนะคะ ไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงมาก แต่เจ้าของบล๊อกจำราคาแม่นๆบ่ได้




จบจากมื้อนี้ ฝั่งตรงข้ามมีร้านขาย DVD ราคาไม่แพงค่ะ (แต่ไม่น่าจะเป็นของลิขสิทธิ์นะคะ) เป็นร้านตึกแถวเล็กๆค่ะ ถ้าจำไม่ผิด DVD หนัง ราคาแผ่นละ 9 หยวน แต่ถ้าเพลงจะแพงหน่อยค่ะ 18 หยวน เราทัศนศึกษากันอยู่ซักพัก ก็แวะเข้าซุปเปอร์ค่ะ เจ้าของบล๊อกกับลูกทัวร์หมายเลขหนึ่งชอบเดินซุปเปอร์มากค่ะ มันเหมือนได้เห็นวิถีชีวิตของคนมั้งคะ แล้วก็ได้เห็นของหลายๆอย่างที่บ้านเราไม่มี อย่างพวกขนม ไม่แน่ใจว่าคนที่นี่ชอบกินผักกันมากหรือไร เพราะมีเลย์รสแตงกวา และมะเขือเทศด้วย - -'

เจอขวดน้ำมันข้าวโพด (ขวดเล็ก) น่ารักดี





ช้อปปิ้งเสร็จขึ้น taxi กลับบ้านกันค่ะ taxi ที่เค้าจะมีกระจกใสครอบคนขับค่ะ แล้วที่นั่งด้านหลังมีจอ touch screen ให้กดเล่น ในนั้นก็จะมีข้อมูลท่องเที่ยวต่างๆ ถึงที่หมายแล้วก็จะมีใบเสร็จให้ด้วยค่ะ




ถึงบ้านแล้ว เจ้าของบล๊อกต้องขอคุยกับลูกทัวร์ ว่าสงสัยเราจะต้องแยกทางแล้วล่ะ ขืนเป็นอย่างนี้ท่าจะไม่ได้ไปไหนไกลเกินรัศมีโรงแรมแน่ๆ ฉะนั้นพรุ่งนี้ เจ้าของบล๊อกจะต้องเที่ยวคนเดียวแล้วจ้า

อย่าลืมตืดตามกันต่อนะคะ ข้างล่างเป็นน้องแมวที่โรงแรมค่ะ แอบพอยท์เท้าถ่ายรูปด้วยนะยะ :)


Saturday, July 23, 2011

・Shanghai ・ Two

เก็บของเรียบร้อย เราก็ไปเดินเที่ยวกันค่ะ
เริ่มจากอาหารมื้อแรกของเราที่ร้านอาหารใกล้ๆโรงแรม
วิธีสั่งนี่ก็ใช้จิ้มๆเอาเลยค่ะ จริงๆแล้วเจ้าของบล๊อกก็พอจะพูดจีนได้อยู่บ้าง แต่ที่ไม่พูดก็เพราะกลัวคอมโบกลับมาชุดใหญ่ค่ะ คือพูดได้ ฟังได้เป็นคำๆ แต่ถ้ามาแบบเป็นประโยคเนี่ย เกิด dead air แน่ๆค่ะ

จากการจิ้มๆของเราก็ได้อาหารมา 3 ชนิด คือเกี๊ยวซ่าทอด ปาท่องโก๋บิ๊กเบิ้มพร้อมน้ำจิ้มรสหวานๆเย็นๆ แล้วก็เส้นเล็กผัดค่ะ เมนูนี้อร่อยดี เสียแต่มันไปนิด แล้วก็แอบตะขิดตะขวงใจว่าเนื้อที่เค้าใส่มามันเนื้ออะไรกันน้า มันนิ่มกว่าปกติ แต่ก็คิดว่าไม่ถามดีกว่า เพราะไม่ค่อยอยากเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ ฮ่า..





ทานเสร็จแล้วก็ชมเมืองเรื่อยเปื่อยกันค่ะ ผ่านย่านนึงที่ขายผ้า กับผ้าลูกไม้สวยๆเยอะเลยค่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ แอบถามมา ผ้าคอตต้อนเมตรละไม่เกิน 80 บาท





เดินไปเรื่อยๆจนไปถึงสวนอี้หยวนค่ะ ซึ่งกว่าจะเข้าถึงบริเวณสวนได้ก็งงๆกันอยู่พักใหญ่เหมือนกัน เพราะว่ารอบๆสวนจะเป็นร้านขายของเยอะเลยค่ะ ของที่ขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกของฝาก สำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ พอเราฝ่าด่านร้านขายของไปได้แล้ว ก็จะเจอทางเข้าสวนค่ะ ค่าเข้า 30 หยวน สวนนี้ก็เป็นการตกแต่งแบบจีนแท้เลยค่ะ

สวนนี้สร้างโดยขุนนางจีนในราชวงศ์หมิงชื่อผานหยุนต้วน ใช้เวลาก่อสร้างนาน18ปีคือราวปีพศ.2102-2120 เพื่อให้เป็นที่พำนักบั้นปลายชีวิตของพ่อแม่ แต่รู้สึกว่าพ่อแม่จะเสียชีวิตไปก่อนสร้างเสร็จนะคะ เมื่อเวลาผ่านไปสวนนี้ก็ได้รับผลกระทบหลายอย่าง มีการทำลาย แล้วก็มีการบูรณะต่อเติมมาตลอด 400 ปี ในปีพศ.2303 มีคหบดีผุ้ร่ำรวยได้ซื้อสวนนี้และใช้เวลา กว่า 20 ปีในการปรับปรุง ในช่วงสงครามฝิ่นสวนนี้ถูกทำลายอีกครั้ง จนกระทั่งปีพ.ศ.2499 จึงเริ่มมีการบูรณะใหม่ กระทั่งเปิดให้บริการสาธารณะชนเข้าชมในเดือนกันยายน พ.ศ.2504




ที่ชอบอย่างนึงคือสิงโตหินที่เป็นชายหญิงคู่กันน่ะค่ะ สิงโตตัวเมียปกติเค้าจะเลี้ยงลูกใช่มั้ยคะ ตรงทางเข้าลูกสิงโตก็จะเป็นสิงโตแบเบาะค่ะ พอเราเดินไปเรื่อยๆ ลูกเค้าก็โตขึ้นเรื่อยๆค่ะ คุณพ่อสิงโตตอนแรกก็จะขรึมๆหน่อย มองไปข้างหน้าตรงๆ พอตอนลูกโตขึ้น คุณพ่อก็เริ่มหันมามองด้วยสายตาเอ็นดู (อันนี้คิดไปเองรึเปล่าไม่รู้ :D)





ใช้เวลาอยู่ในสวนอยู่พอสมควร ก็ออกมาพักกินเสี่ยวหลงเปาด้านนอกสวนกันค่ะ




ร้านนี้ไกด์บุคหลายเล่มแนะนำ รสชาติใช้ได้ค่ะ แต่เราว่าที่ร้านเกี๊ยวจีนอร่อยกว่า แหะๆ
ไว้เดี๋ยวจะมารีวิวให้ดูกันในเอนทรี่ต่อๆไปนะคะ

ว่าแล้วก็เดินกลับมาทางเดิมเพื่อที่จะไปชมวิว The Bund กัน
ระหว่างทางก็แวะซื้อแตงโม ที่นี่เค้าจะผ่าแตงโมเป็นเสี้ยว เอาเปลือกออก แล้วก็เสียบไม้ให้เรา
แตงโมลูกใหญ่มาก แต่ไม่หวานเลย :b







เดินมาจนถึง The Bund เราก็รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ขึ้นมา
The Bund นี้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำหวงผู่ มีความยาว 1.5 กิโลเมตร ซึ่งในอดีตบริเวณนี้เป็นท่าเรือจีนที่ใช้ติดต่อค้าขายกับต่างชาติ แต่ในความสวยงาม เบื้องหลังมันก็คือการสะท้อนภาพการกดขี่จากชาวตะวันตก เพราะคนจีนต้องถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานในการสร้าง เมื่อสร้างเสร็จ บริเวณนี้ก็เป็นที่อยู่ของชาวตะวันตก และห้ามคนจีน และหมาเข้าซะงั้น พูดแล้วชักจะขึ้น ฮ่าๆ ชมวิวกันต่อดีกว่า




ถ้าเรามองไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำหวงผู่ ก็จะเจอตึกสูงตระการตาเพียบเลยค่ะ ฝั่งนั้นเป็นฝั่งเมืองใหม่ เดี๋ยวเราจะข้ามไปฝั่งนั้นกันค่ะ เดินไปเรื่อยๆจนเกือบจะถึงรูปปั้นของ Chen Yi ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองเซี่ยงไฮ้ เราก็จะพบกับอุโมง ให้เดินลงไปเลย เพราะเราจะข้ามฝั่งแม่น้ำโดยใช้บริการ The Bund Sightseeing Tunnel กัน

การข้ามฝั่งแม่น้ำมีอยู่ 2 วิธีค่ะ คือการนั่งเรือข้ามฟาก ราคา 2 หยวน กับการข้ามทางอุโมงนี้ ซึ่งพี่สาวเจ้าของบล๊อกบอกว่าเลือกทางนี้เถิด เค้ามีแสงไฟเลเซอร์ปิ้วป้าวตระการตาสนนราคา 50 หยวนต่อเที่ยว เจ้าของบล๊อกก็เออออห่อหมกไปด้วย แต่เอิ่มมมม.... ระยะทางแสงไฟเลเซอร์ของพี่ท่านดูหลอกเด็กมากมาย จนชักจะอยากได้ 50 หยวนคืน แง...




ไหนๆก็ข้ามฝั่งมาแล้ว กิจกรรมต่อไปก็คือการขึ้นหอไข่มุกค่ะ หอไข่มุก หรือ Oriental Pearl Tower เป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์สูง 468 เมตร นับเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในเอเชียและสูงเป็นอันดับ 3 รองจากแคนาดาและรัสเซีย

เราเลือกซื้อแพคเกจแบบที่มี Dinner buffet ด้วย ราคา 298 หยวน เพื่อที่จะได้นั่งพักชมวิวกันยาวๆ บุฟเฟต์ที่นี่เปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น ยาวไปถึง 3 ทุ่มเลยค่ะ ก่อนขึ้นตึกจะต้องสแกนกระเป๋า ใครที่พกของเหลวมาต้องทิ้งนะจ๊ะ ซึ่งตอนที่ขึ้นไปทานอาหารนี่มันชวนปวดใจมาก เพราะราคาเครื่องดื่มข้างบนนี่แพงมหากาฬเลยทีเดียว โค้กซีโร่ กระป๋องละ 50 หยวน น้ำแร่เอเวียงขวดใหญ่ 80 หยวน
เรียกว่าต้องสั่งมาแค่พอจิบๆกันอาหารติดคอเท่านั้น





จุดเด่นอีกอย่างของร้านอาหารที่นี่คือพื้นเค้าจะหมุน 360 องศาเลย ทำให้เราได้เห็นวิวได้ครบ แต่ก็หมุนช้าๆนะคะ ไม่งั้นคงอ้วก ระดับความเร็วก็ประมาณ.. เจ้าของบล๊อกนั่งอยู่เกือบ 3 ชั่วโมง ก็ได้เห็นวิวประมาณ 1 รอบครึ่งน่ะค่ะ

อาหารด้านบนพอใช้ค่ะ มีทั้งหมด 3 ไลน์ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจีน ทานเสร็จแล้ว ลงมาชั้นล่าง จะมีจุดชมวิวพื้นใส ให้คนใจกล้าเข้าไปถ่ายรูปเล่น เจ้าของบล๊อกไม่ไหวจริงๆค่ะ มองลงไปทีนี่หมดแรง แต่เห็นเด็กๆชอบกันม้ากกกก วิ่งเล่น กระโดด กระทืบกันน่าดู






ลงมาปั๊บ เราก็หารถกลับบ้านกันค่ะ แต่ taxi เค้าเรียกราคาเราโหดไปหน่อย เลยเปลี่ยนใจนั่งรถไฟกลับ ซึ่งระหว่างทางก็ได้ไปเจอแฟนคลับพี่บี้ ที่พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยปั๊บ เธอก็ทั้งร้องทั้งเต้นไม่หยุดเลยค่ะ น่าประทับใจแทนพี่บอยมาก ฮ่าๆ น่าเสียดายที่เรานั่งแค่ป้ายเดียว เลยไม่มีโอกาสได้คุยอะไรกันเยอะ จริงๆแล้วเธอก็ไม่เปิดโอกาสด้วยแหละ ถามชื่อ ถาม e-mail ไป ก็จะร้องแต่เพลงพี่บี้อย่างเดียว




วันแรกจบแล้วค่ะ ตามไปเที่ยวกันต่อในเอนทรี่ถัดไปนะจ๊ะ :)

ป.ล. อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่เจ้าของบล๊อกแลกเงิน (จาก Super Rich) ไป 1 หยวน ราคา 4.72 บาทนะจ๊ะ

Friday, July 15, 2011

・Shanghai ・ One

เนื่องจากแฟนเจ้าของบล๊อกได้รับเชิญจาก Supplier ไปเที่ยวเชียงรายค่ะ
ตามสไตล์เด็กขี้อิจฉา ก็อยากไปเที่ยวกับเค้าบ้าง เลยเกิดทริปเที่ยวด่วนทริปนี้ขึ้นมาค่ะ
โจทย์ของทริปนี้ก็คือ
  • มีเวลา 4 วัน
  • ต้องเป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า หรือขอวีซ่าง่ายมากม๊ากกกก
  • ค่าครองชีพไม่แพง
  • ตั๋วเครื่องบินราคาไม่เกิน 15K หรือใกล้เคียง
หาไปหามา ประกอบกับเวลาเดินทางที่ลงตัวที่สุด ก็มาจบที่เซี่ยงไฮ้ค่ะ
ตอบโจทย์ได้หมดทั้ง 4 ข้อ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเค้าจะกระจุกตัวกัน ทำให้ไม่ต้องใช้เวลามาก,
ขอวีซ่าไปจีนด่วนๆ ใช้เวลาแค่วันเดียวค่ะ เอกสารที่ต้องใช้ก็มีแค่รูปถ่าย, ฟอร์มขอวีซ่า แล้วก็เงินค่ะ
ถ้าไปขอวีซ่าในวันเดียว แบบ Single Entry เป็นเงิน 2,200 บาท (ค่าวีซ่า 1,000 บาท + ค่าเร่งด่วน 1,200 บาท)
ค่าครองชีพก็ใกล้ๆกับที่เมืองไทยเลย และข้อสุดท้ายตั๋วเครื่องบินไป-กลับราคาประมาณ 16K (TG) ค่ะ

ว่าแล้วก็จัดการจองตั๋วเตรียมตัวโกกันเลย

อากาศที่เซี่ยงไฮ้ฤดูนี้เหมือนไทยเด๊ะๆเลยค่ะ ร้อนฝน เหมือนจนข้องใจตัวเองว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่.. ฮ่า
เพราะอากาศแบบนี้ ถ้าอยู่ประเทศไทย ฉันไม่มีทางออกมาเดินตามท้องถนนแบบนี้เด็ดขาด

โรงแรมที่เราจองอยู่ใกล้ๆกับ The Bund ค่ะ เดินทางสะดวก แต่ราคาก็แพงหน่อย (คืนละ 2 พันกว่าบาท ห้อง 3 คนนะคะ)




ถึงเวลาเดินทาง เจ้าของบล๊อกโชคดีค่ะ เจอเพื่อนอยู่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินพอดี แถวยังช่วยจัดที่นั่งให้นอนไปสบายๆเลยค่ะ
จากกรุงเทพไปสนามบินนานาชาติผู่ตงที่เซี่ยงไฮ้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนะคะ เวลาที่เซี่ยงไฮ้จะเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมงค่ะ

รับกระเป๋าเรียบร้อยก็มาเลือกวิธีเข้าเมืองกันค่ะ ซึ่งเจ้าของบล๊อกขอให้บริการ Maglev ซะหน่อย
(Magnetic Levitation Transport รถไฟที่ใช้แรงแม่เหล็กเป็นพลังงานหลักในการเคลื่อนที่)
Maglev นี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 431 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียวค่ะ แต่วันที่เราไป เค้าวิ่งเร็วสุดแค่ 301 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจริงๆก็เร็วมากแล้วค่ะ ใช้เวลาแค่ 8 นาทีก็ถึงสถานีหลงหยางแล้ว






การเดินทางโดย Maglev เพื่อเข้าเมือง จะต้องนั่งรถไปลงที่สถานีหลงหยาง (Long yang) ก่อนแล้วจึงต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานีที่ต้องการค่ะ
ค่าตั๋วรถไฟก็ 50 หยวน แต่ถ้ามีตั๋วเครื่องบินที่เดินทางในวันนั้น จะเหลือ 40 หยวนค่ะ

เข้าเมืองได้แล้ว ก็ขอเข้าโรงแรมกันก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวค่อยตามไปเที่ยวกันต่อนะคะ :)