Saturday, July 31, 2010

・My Homemade White Bread ・

เมื่อวานนี้ลองทำขนมปังค่ะ ใช้สูตรของคุณเศรษฐพงศ์ เผ่าวัฒนา จากหนังสือเล่มนี้


ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจค่ะ เนื้อขนมปังเหนียวนุ่มดี ยิ่งทานตอนร้อนๆ ทาเนย หืม.. อร่อยม๊ากกกกส์ (เวอร์ไปมั้ย :b)

ไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้วค่ะ เริ่มทำกันเลยดีกว่า
(สูตรค่อนข้างยาวและละเอียดนะคะ ลงไว้เผื่อคนที่ยังไม่ชำนาญ ค่ะ แต่ถ้าใครโปรแล้วก็อ่านข้ามๆได้เลยค่ะ)

・White Bread ・
พิมพ์ขนมปังขนาด 5x9 นิ้ว หรือใหญ่กว่านี้เล็กน้อย ทาเนยขาวในพิมพ์บางๆ (เราใช้น้ำมันแบบสเปรย์ฉีดเอาค่ะ)

ส่วนผสม
ยีสต์ (Instant yeast) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายป่น 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1+ 1/2 ช้อนชา
นมสด 1+ 2/3 ถ้วย
เนยจืดละลาย 2 ช้อนโต๊ะ
(วันที่ทำใช้เนยกระเทียมค่ะ เลยได้ขนมปังกลิ่นกระเทียมด้วย :) หอมดี)
แป้งสาลีสำหรับทำขนมปัง 4+ 3/4 ถ้วย

วิธีทำ
・ แบ่งแป้งออกมาจากสูตร 1 ถ้วย ใส่ลงในอ่างผสม ใส่ยีสต์และน้ำตาลทรายลงไป คนให้เข้ากัน รินนมอุ่นลงไปครึ่งถ้วย (อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส หรือร้อนในระดับที่หลังมือแตะแล้วทนได้) คนให้เข้ากัน ใส่แป้งลงไปอีกครึ่งถ้วย คนให้เข้ากัน
・ นำเนยละลายที่ยังอุ่นและเกลือเติมลงในส่วนผสมนมที่เหลือ คนให้เข้ากันกด้วยพายยาง รินนมครึ่งถ้วยลงในอ่างแป้ง คนให้เข้ากัน ใส่แป้งลงไปอีก 1 ถ้วย คนพอให้แป้งเกาะเป็นก้อน รินนมลงไปอีก ทำสลับกันเช่นนี้ให้จบที่ส่วนผสมแป้ง
(แต่ถ้าหมดสูตรตวงแล้ว แป้งยังเป็นก้อนแฉะๆ ให้เติมแป้งลงไปอีกทีละน้อย จนก้อนแป้งเกาะตัวและไม่ติดกับอ่างผสม แต่ถ้าก้อนแป้งแห้งเกินไป ให้เติมนมอุ่นครั้งละ 1-2 ช้อนชา)
・โรยแป้งสาลีทำนวลที่หน้าโต๊ะ นำก้อนแป้งนวดกับหน้าโต๊ะ โดยใช้สองมือวางทาบลงไปบนก้อนแป้ง ผลักออก โดยใช้สันมือบังคับแป้ง ดึงกลับเข้าหาตัว โดยใช้ปลายนิ้วบังคับ ผลักออก ดึงเข้า ทำเช่นนี้จนก้อนแป้งเป็นรูปยาว (เหมือนเราปั้นดินน้ำมันเป็นแท่งยาวๆ) ทบสองข้างของแป้งเข้ามาตรงกลาง นวดในจังหวะเดิมอีก

*แต่ละคนจะมีเทคนิคการนวดแป้งแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ก็ต้องอาศัยหลักการยืดก้อนแป้งและรวมก้อนแป้งเช่นนี้ หรือจะใช้มือซ้ายยึดปลายก้อนแป้ง แล้วใช้สันมือขวาผลักก้อนแป้งออก ดึงกลับด้วยปลายนิ้วมือขวา หรือใช้เครื่องผสมอาหาร หรือเครื่องตีไข่ที่นวดขนมปังก็ได้ แต่ควรเป็นเครื่องขนาดใหญ่ เพราะแรงของมอเตอร์ที่มีมาก จะทำให้นวดได้ดีกว่าเครื่องขนาดเล็ก

・นวดขนมปังประมาณ 10 นาที (ถ้านวดด้วยมือ) สังเกตดูว่าผิวก้อนแป้งตึง หรือมือแรงต้นตึงๆเมื่อกดลงไป แสดงว่ายีสต์ทำงาน ให้นำไปหมักครั้งแรกในอ่างผสมที่สะอาดโดยทาไขมัน (เนยขาว - เราใช้สเปรย์น้ำมันอีกเช่นเคย) บางๆที่อ่างผสม เพื่อกันแป้งติด คลุมปากอ่างด้วยผ้าบางและสะอาดที่ชุบน้ำบิดหมาดไว้ ทับด้วยจานใบใหญ่ๆที่ปิดฝาอ่างได้ เพราะยีสต์ชอบที่มืดและอุ่น นำอ่างผสมวางไว้ในที่ที่ไม่ถูกแสงแดด อุณหภูมิที่เหมาะกับการหมักแป้งคือ 30 องศาเซลเซียส ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดมากนักก็ได้ แต่ถ้าเย็นกว่านี้อาจต้องใช้เวลาหมักนานกว่าที่กำหนด
・หมักแป้งไว้ราว 1 ชั่วโมง หรือจนแป้งขึ้นฟูประมาณ 2 เท่า
・ ทาเนยขาวบางๆที่หน้าโต๊ะและไม้นวดแป้งหรือขวดทรงกระบอก นำแป้งออกมาวางบนโต๊ะ คลึงแป้งให้แผ่เป็นแผ่นเพื่อไล่อากาศออก (ช่วงนี้ฟองอากาศข้างในแป้งแตกดังโป๊ะๆ สนุดกีค่ะ) จากนั้นม้วนแป้งเป็นแท่งแน่นๆ ทบสองข้างแป้งเข้าหาตรงกลาง นวดแป้งตามวิธีนวดโดยใช้มือ พอให้แป้งรวมเป็นก้อนกลม พักแป้งไว้ราว 10 นาที
・คลึงแป้งด้วยไม้นวดแป้งให้แผ่เป็นแผ่นกว้างราว 8x15 นิ้ว ม้วนตามความกว้างให้แน่น จะได้แท่งก้อนแป้งขนาด 8 นิ้วหนึ่งก้อน นำแป้งใส่ลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ ให้ด้านที่เป็นตะเข็บหรือบริเวณปลายแผ่นแป้งมาบรรจบคว่ำลงก้นพิมพ์ นำไปพักในที่ที่เหมาะสมข้างต้น ปล่อยให้แป้งฟูขึ้นเป็นสองเท่า หรือราว 1 ชั่วโมง นำเข้าเตาอบนาน 45 นาที (ของเราแค่ประมาณ 30 นาทีล่ะ)
・นำขนมที่อบเสร็จแล้วออกจากเตา พักไว้ 5 นาที ก่อนนำออกจากพิมพ์ พักไว้บนตะแกรง

*หมายเหตุ: ขนมปังขาวสูตรรนี้เนื้อขนมปังจะนุ่มและแน่น มีน้ำหนัก ไม่เบาฟูเหมือนขนมปังที่ทำในระบบอุตสาหกรรม ปล่อยให้เย็นก่อนจึงใช้มีดฟันเลื่อย "เลื่อย" ขนมปังเป็นแผ่นๆตามจำนวนที่ต้องการรับประทาน (ผู้เขียนใช้คำนี้เพราะถ้าใช้คำว่า "ตัด" มักเข้าใจว่าใช้มีดตัดลงไปตรงๆ ซึ่งจะทำให้เนื้อขนมปังยุ่ย) ไม่ต้องเลื่อยออกมาเป็นแผ่นหมดทั้งก้อน เวลาจะรับประทานจึงนำมาเลื่อยแล้วปิ้ง จะสดเหมือนทำใหม่ขนมปังชนิดนี้เก็บไว้ในตู้เย็นได้หลายวัน

ขอแถมจากในหนังสือนิดนึงนะคะ เนื่องด้วยเจ้าของบล๊อกไม่เคยอบขนมปังก็เลยไม่รู้ว่าขนมปังสุกเนี่ย เค้าดูกันยังไง ก็เลยลอง search ดู เพื่อนๆคนอื่นแนะนำว่าให้เอาออกจากเตาอบแล้วเคาะดูค่ะ ถ้าเสียงกลวงๆ ก็แปลว่าสุกแล้ว แต่เอิ่ม.. เจ้าของบล๊อกลองเอามาเคาะจนมือพองยังไม่รู้เลยค่ะ ว่านี่เรียกว่ากลวงรึยัง -____-'
และด้วยความที่ทำแต่เค้ก ตอนหยิบออกมาจากเตาครั้งแรก ลองจับผิวขนมปังดูแล้วมันแข็งมาก ตอนนั้นอยากร้องไห้เลยค่ะ คิดในใจว่าเจ๊งแน่แล้ว ฮือ... T . T

เลยคิดว่าไม่เอาแล้ว อบอีกแป๊บเดียว แล้วก็เอาออกมาเลย

แต่ปรากฏว่าพอขนมปังเริ่มเย็นมันก็นิ่มขึ้นอ่ะค่ะ แหะ ก็เค้าไม่รู้ง่ะ :b

ต้องสารภาพว่าตอนแรกไม่ค่อยกล้าทำขนมปังเท่าไหร่ เพราะกลัวทำเจ๊งอ่ะค่ะ แถมใช้แป้งเยอะมากเลย ถ้าเจ๊งคงเสียดาย แต่พอลองทำดูแล้วสำเร็จก็รู้สึกภูมิใจดีนะคะ ยิ่งเวลาที่เราพักแป้งไว้ แล้วกลับมาดูอีกทีมันฟูจนล้นพิมพ์เนี่ย กรี๊ดเลยค่ะ มันอะเมซิ่งมาก (ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเหมือนกันรึเปล่า)


ใครที่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ ลองดูนะคะ สนุกดีค่ะ แถมตอนนวดแป้งก็ได้ออกกำลังดีด้วยล่ะ :)

Wednesday, July 28, 2010

จันทบุรี ・สาม

เ้ช้านี้เก็บบรรยากาศที่พักและโดยรอบมาฝากเพิ่มเติมค่ะ






ระหว่างรอเวลา check out มีกิจกรรมหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาด นั่นคือ นั่งกินปลาหมึกปิ้งริมหาด ค่ะ
ฮ่า.. ถึงจะดูไม่คูล แต่ปลาหมึกเค้าอร่อยจริงๆนะเออ




ท้ายสุดนี้ ขอขอบคุณคุณแฟนที่ยอมไปหลงๆ เหนื่อยๆด้วยกัน
ไว้ทริปหน้าเค้าจะเตรียมข้อมูลเส้นทางให้แน่นปึ้กเลยนะเออ

และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค้าบบ :)

Tuesday, July 20, 2010

・จันทบุรี ・ สอง

อรุณสวัสดิ์ค่ะ หลังจากที่เมื่อคืนนอนกินแรงตั้งแต่ัหัวค่ำ เช้านี้ก็เลยตื่นเช้าสุดๆ
เก็บภาพบรรยากาศที่พักมาฝากกันค่ะ


ทะเลสงบมากค่ะ
ด้านหน้า



เข้ามาจะเจอกับมุมนี้ก่อนค่ะ

คุณแฟนบอกว่าน่ากลัว แต่เราว่าน่ารักดีนะ
ขึ้นมาข้างบนดาดฟ้าคืนแรกแจ้งความจำนงค์ว่าอยากทานข้าวบนนี้ค่ะ แต่คุณพนักงานบอกว่ายุงเยอะมาก
ทานตอนเช้าก็ไม่ไหว น่าจะร้อนอยู่ เลยย้ายมาทานอาหารเช้าหน้าห้องกันค่ะ
ทะเลนี้อยู่ด้านหลังค่ะอาหารเช้าหน้าห้องเห็นทะเลด้วย :)

โต๊ะเครื่องแป้งในห้อง
ทานข้าวเสร็จแล้วหาข้อมูลเพิ่มอีกหน่อยก็ออกเดินทางค่ะ เป้าหมายแรกของเราคือ ・Oasis Sea World ・ ค่ะ
ต้องขอเตือนกันก่อนว่าขับรถในจันทบุรีนี่ยากจริงๆค่ะ บางทีเห็นป้ายอยู่หลัดๆ พอถึงทางแยก อ้าว ไม่มีป้ายบอกทางแล้ว T T
เรียกว่าเล่นเกมวัดดวงกันทุกนาทีจริงๆ หรือบางทีก็จับเราวนไปวนมาอยู่ในเมือง แล้วสุดท้ายก็มาออกเส้นสุขุมวิทอีกแล้ว App Map ก็พอช่วยได้ค่ะ แต่สุดท้ายคนพื้นที่ก็ชัวร์กว่า

(เส้นทางที่จะบอกต่อไปนี้ไม่ควรยึดเป็นสรณะเป็นอย่างยิ่งนะคะ เพราะเป็นเส้นทางที่มั่วสุดๆ
เป็นการผสมแผนที่จริง+App Map ของคุณ iPhone+ ถามทุกคนที่เห็นเมื่อรู้สึกท่าไม่ดี
จนถึงวันนี้ทั้ง 2 คนก็ยังรู้สึกอยู่เลยว่าเราต้องขับรถอ้อมกันเป็น 10 กิโลแน่ๆ)
เริ่มจากออกจากที่พักไปยังสุขุมวิท เป็นระยะทาง 18 กิโลเมตรจากนั้นก็ขับตรงไปเรื่อยๆ (นานเหมือนกันค่ะ) จนไปเจอทางแยกเข้าตัวเมืองจันทบุรี ก็เลี้ยวเข้าไป ต่อจากนี้ก็งงๆค่ะ App เค้าให้เลี้ยวไหนเราก็ไปค่ะ จนสุดท้าย・ออกมาที่สุขุมวิทอีกครั้งค่ะ (o o)'
・ขับไปจนเจอป้าย Oasis Sea World ก็ตามเค้าไปค่ะ
・คราวนี้ก็ไปวนในซอยอีกนานเหมือนกันค่ะ แต่หลังจากนี้จะมีป้ายบอกทางไปตลอดแล้ว ไม่น่าจะหลงค่ะ

Oasis Sea World






ค่าเข้าชม 80 บาท การแสดงยาวประมาณ 45 นาทีค่ะ แต่รู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก (ก็ไปสายนี่ยะ)
ถ้าใครจะไปโปรแกรมนี้อาจจะต้องบอกกันก่อนว่าลักษณะจะค่อนข้างบ้านๆนะคะ อย่าคาดหวังอะไรมาก แต่โลมาน่ารักจริงๆค่ะ มีโลมาหัวบาตรตัวนึงที่บ้าพลังสุดๆ เต้นไม่หยุดเลยทีเดียว
ถ้าใครสนใจจะเล่นน้ำกับโลมาก็ได้นะคะ แต่รู้สึกว่าจะปิดปรับปรุงอยู่ค่ะ จะเปิดอีกครั้งต้นปี 54

จบจากภารกิจนี้ก็ไปฟาร์มปูนิ่มกันค่ะ
ออกจาก Oasis Sea World มาก็หลงเลย ฮ่า..
นั่งอยู่ในรถนานมาก (ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะขับผ่านวัดไปถึง 5 วัดทีเดียว)
ถึงแล้วก็ต้องรอเรือมารับเราไปที่ร้านอีกทีค่ะ

ลักษณะร้านดูจะเป็นร้านครอบครัวค่ะ เด็กๆเยอะเชียว อาหารทะเลสดค่ะ ปูนิ่มอร่อยสมชื่อ

เมนูมื้อนี้ค่ะ
ปูนิ่มทอดกระเทียม
หอยนางรม
ต้มส้มรวมมิตร
เส้นจันทน์ผัดปูนิ่ม
ทานเสร็จก็ลงเรือกลับเข้าฝั่ง

จุดหมายต่อไปของเรา ・โบสถ์คาทอลิค ・ค่ะ
ครั้งนี้ก็เจอเหตุการณ์ Deja Vu อีกแล้วค่ะ ขับออกมาเส้นสุขุุมวิท พอเจอป้ายก็รีบเลี้ยว แต่ก็กลายเป็นว่าเข้าไปวนๆอยู่ในซอย พักใหญ่ๆก็มาโผล่ที่ตัวเมือง แล้วป้ายบอกทางก็หายไป (อีกแล้ว) !

กรี๊ดดดด!! งบมันหมดรึไงฮึ หรือไม่อยากให้เที่ยวก็บอกกันมาตรงๆเส่...

อ่อ แล้วก็เรื่องทางวันเวย์นะคะ ต้องสังเกตดีๆค่ะ ขับไปขับมากลายเป็นย้อนศรไปเฉยๆก็มีค่ะ

ในที่สุดก็ถึงโบสถ์ค่ะ ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้แวะเข้าไป เนื่องจากว่าเข้าใจว่าโบสถ์ปิด ก็เลยข้ามไปฝั่งตรงข้ามแล้วหันกลับมาถ่ายรูปด้วยความอาลัยอาวรณ์

มาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องขอเล่าอดีตของเมืองจันทบุรีนี้ซักเล็กน้อยนะคะนักโบราณคดีสันนิษฐานว่ามีการสร้างเมืองขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 บริเวณหน้าเขาสระบาป โดย “ชาวชอง” (ชนเผ่าในตระกูลมอญ-เขมร) เป็นชนพื้นเมืองกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในป่าตะวันออกบริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด โดยเฉพาะในเขตป่ารอยต่อจันทบุรี-ตราด
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2200 ได้มีการย้ายเมืองไปสร้างใหม่ที่บ้านลุ่มซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี จนปี พ.ศ. 2436 (สมัยรัชกาลที่ 5) เกิดกรณีพิพาทไทย-ฝรั่งเศส ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสได้เข้ามายึดครองเมืองจันทบุรีไว้นานถึง 11 ปี มีหลักฐานการยึดครองของฝรั่งเศสเหลือให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้ เช่น คุกขี้ไก่ ตึกแดง โบสถ์คริสต์ (ที่เราเพิ่งผ่านมา) เป็นต้น

ต่อจากนั้นเราก็ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำจันทบุรีไปยัง check point จุดต่อไป ก็คือ ・ชุมชนริมน้ำจันทบูร ・ ค่ะ
ที่นี่มีจุดเด่นคือสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส สลับกับศาลเจ้าแบบจีน และวัดแบบไทย ดูผสมผสานกลมกลืนดีค่ะ
บ้านหลายหลังก็ยังคงสภาพเดิมไว้อยู่ แต่ก็น่าเสียดายที่บรรยากาศของชุมชนค่อนข้างเงียบเหงา และจุด tourist attraction บางจุดก็ปล่อยให้เสื่อมโทรม หรือปิดไป พอบรรยากาศจ๋อย tourist ก็เลยจ๋อยด้วย ทั้งๆที่ถ้าทำให้ดีล่ะก็ น่าจะเจ๋งมากเลย






ถ้าอยากหาข้อมูลเพิ่มเติมลองอ่านในเวปนี้ดูนะคะ เค้าทำเวปไว้น่ารักเชียว
เดินเที่ยวไปเรื่อยๆจนสุดทางก็จะเจอร้านขายของที่ระลึกค่ะชื่อร้านยี่สิบสองตองศูนย์ พวก magnet, postcard เค้าน่ารักดีค่ะ
เดินย้อนกลับมาที่โบสถ์ค่ะ ถ่ายรูปรอบนอกนิดหน่อย เดินไปเดินมาก็อุ๊ย.. ประตูเปิดอยู่นี่นา ก็เลยขอแวะเข้าไปหน่อยค่ะ



ด้านในมีพระแม่มารีประดับพลอย และกระจกสีที่สวยมากค่ะ ถ้ามีโอกาสอยากให้แวะเข้าไปชมกันค่ะ ซึ่งคุณคุมโบสถ์เขาว่าให้แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ถ่ายภาพอย่างสุภาพนะคะ

ก่อนออกจากร้านขายของที่ระลึกได้ถามข้อมูลไว้เพิ่มเติมค่ะ ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจอีกบ้าง
เค้าบอกว่า

"โรบินสัน" ค่ะ

ฮ่า..

คือจริงๆแล้วที่โรบินสันเค้ากำลังมีงานนิทรรศการเส้นสายปลายปากกาค่ะ เป็นการจัดนิทรรศการภาพวาดสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนที่น่าสนใจในชุมชน ริมน้ำจันทบูร เพื่อประชาสัมพันธ์ชุมชนริมน้ำจันทบูรในภาพของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้ชาวจันทบุรีและนักท่องเที่ยวได้รู้จักชุมชนริมน้ำจันทบูรกว้างขวางยิ่งขึ้น

ก็เลยอ่ะ.. ไปโรบินสันกัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วคุณแฟนก็อยากจะรีบกลับที่พักก่อนมืด

ไปถึง ปรากฏว่า

.. จ๋อย ..

งานจ๋อยมาก เป็นบูธขนาดประมาณ 1.5 x 3 เมตร ซ้ายขวามีภาพลายเส้นสถาปัตยกรรม แต่ก็เป็นภาพเล็กมาก ลึกเข้าไปเป็นเวทีเล็กๆ มีสาวน้อยชุดไทยนั่งร้อยมาลัย (แล้วทำไมต้องร้อยมาลัย) แล้วก็หาวไปด้วย
มีพิธีกรที่พยายาม build บรรยากาศเต็มที่ ด้านหน้าขายเสื้อที่ระลึก
คือแค่นาทีเดียวก็จบแล้วจริงๆ คุณแฟนถึงกับอึ้ง ไม่กล้าถ่ายรูปกันไปเลยทีเดียว (เพราะไม่รู้จะถ่ายอะไรดี)

สุดท้ายทั้งสองคนก็เลยชอปปิ้งแทน
ฮ่า...
ซื้อสุกี้กลับไปทานที่รีสอร์ท (จ๋อยได้อีก เห็นมะ) นึกไปถึงหน้าเจ้าของร้าน "นิทรรศการดีมากเลยครับ"
เอิ่ม.. นี่พี่ยังไม่ได้มางานเลยใช่มั้ยคะเนี่ย ฮะ อยากจะขับรถไปรับพี่ที่ร้าน แล้วจับมาดูงานด้วยกันซะเลย ฮึ่ม.. (  `ハ´)
ขากลับก็งงอีกแล้วค่ะ ขับยึกยักอยู่ในซอยประมาณ 10 กว่ากิโล พอออกมาสุขุมวิทได้ ขับไปอีกพักใหญ่ๆ เจอป้ายโรบินสัน "อร๊ายยยย นี่มันอะไรกั๊น" นี่ชั้นอยู่ในเขาวงกตรึเปล่าเนี่ย
แล้วถนนก็มืดมากค่ะ มืดไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ไฟถนนก็ไม่มี ฉะนั้นแนะนำว่าให้กลับที่พักก่อนตะวันตกดินกันนะคะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ :)

Thursday, July 15, 2010

・จันทบุรี ・ หนึ่ง

เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วไปเที่ยวจันทบุรีมาค่ะ
จริงๆแล้วก็ทำการบ้านไว้เยอะเชียว ทั้งที่กิน ที่เที่ยว แต่ดั๊น.. ไม่ปรินท์ออกมา เลยต้องเดือดร้อนคุณแฟนมานั่งหากันใหม่ก่อนออกเดินทาง
ตัวเองก็ไม่ช่วยด้วยนะ นั่งประกอบกล้องอยู่นั่นแหละ (เรื่องกล้องนี่เอาไว้เอ็นทรี่หน้าแล้วกันเนอะ) หาไขควงไม่เจอก็หงุดหงิดกับคุณแฟนอีก ฮ่า.. เป็นเพื่อนร่วมทางที่แย่จริงเชียว
ออกเดินทางกันประมาณ 11 โมง มื้อแรกของเราเป็นส้มตำริมถนนพระราม 9 ค่ะ ชื่อร้าน "พระราม 9 ไก่ย่าง"

เมนูมื้อนี้ค่ะ

ส้มตำข้าวโพด
(ในส้มตำมีถั่วตัดด้วย แปลกดี แต่ก็เลยทำให้หวานไปนิด)

ลาบเห็ด

ลาบวุ้นเส้น
(เมนูลาบนี่เผ็ดนำมาเลยค่ะ เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยกลมกล่อม แต่คุณแฟนชอบแฮะ)

ต้มแซ่บกระดูกอ่อน
(ลืมตักเครื่องให้ดู เลยเห็นแต่น้ำซุปอย่างเดียวเลย ฮ่า..)

คอหมูย่าง

เติมพลังเสร็จแล้วก็ขับรถกันต่อค่ะ ไปทางมอเตอร์เวย์ ซึ่งจริงๆแล้วต้องออกที่อำเภอแกลง แต่ว่าวันนี้ navigator ไม่ดีค่ะ (ตัวเองนั่นแหละ ฮ่า...) เลยไปโผล่พัทยาเฉยเลย - -'
คราวนี้ก็เลยต้องเลาะไปเรื่อยๆ ผ่านพัทยา ระยอง แล้วค่อยไปโผล่จันทบุรี กว่าจะถึงก็บ่ายแก่แล้ว เหนื่อยมากส์
ตอนแรกก็กะว่าค่อยไปเที่ยวกันวันพรุ่งนี้ แต่พอดีตาเหลือบไปเห็นป้าย "ป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน" ก่อนถึงทางเข้าที่พัก ซึ่งก็เป็นหนึ่งใน destination ที่คิดว่าจะไปอยู่พอดี คุณแฟนก็ใจดี บอกว่าแวะหน่อยก็ได้ :D

เล่าคร่าวๆค่ะ จริงๆแล้วรู้สึกว่าในจันทบุรีจะมีป่าชายเลนอยู่หลายที่เลยค่ะ (เพราะเห็นป้ายอยู่เยอะเลย) ซึ่งที่อ่าวคุ้งกระเบนนี่ก็ถือว่าเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์แล้วก็สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งค่ะ
ด้านในจะมีทางเดินศึกษาธรรมชาติ ยาวประมาณ 1.6 กิโลเมตรค่ะ โดยจะมีจุดพักเป็นศาลาอยู่ 10 จุด แต่ละศาลาก็จะให้ความรู้เรื่องป่าชายเลนที่ต่างกันออกไป ทั้งเรื่องลักษณะพันธุ์พืช และวิถีชีวิตของชาวบ้านค่ะ










โชคดีที่เราเดินกันจนเย็นเลยค่ะ เลยได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินที่อ่าวพอดี
ถ้าอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ลองดูที่นี่นะคะ
เป็นสถานที่ที่อยากแนะนำให้ไปค่ะ เราว่าพอไปแล้วมันก็ช่วยกระตุ้นให้เรารู้สึกเคารพธรรมชาติมากขึ้นน่ะค่ะ

ออกมาจากป่าชายเลนก็เย็นพอดี ขับรถย้อนกลับไปซักระยะนึงก็ถึงรีสอร์ทค่ะ
เราพักกันที่ Al Medina Beach House ที่หาดคุ้งวิมาน เป็นรีสอร์ทขนาดกะทัดรัดค่ะ ตกแต่งสไตล์โมรอคโค น่ารักค่ะ บริการดี

ถ้าอยากดูรีวิวลองเข้าไปดูที่ pantip นะคะ เห็นคนรีวิวไว้เพียบเลยค่ะ

และ
ที่ชอบสุดๆคือทะเลค่ะ ทะเลที่นี่อาจจะไม่ได้สวยมาก แต่ก็สงบมากค่ะ แล้วบรรยากาศก็ไม่พลุกพล่าน


หมาน้อยที่รีสอร์ทค่ะ ตั้งชื่อว่าคุณ "ฟูฟู่"

ทานข้าวเสร็จก็สลบเลยค่ะ (ไม่ค่อยได้ออกกำลังก็งี้) คุณแฟนก็ต้องมานั่งทำการบ้านต่อว่าโปรแกรมวันที่ 2 จะต้องไปที่ไหนบ้าง (แต่เค้าก็มี guideline ให้น้า.. แค่คุณแฟนต้องหาทางขับรถไปให้ได้เท่านั้นเอง) รับรองว่าวันที่ 2 นี่แน่นเอี้ยดค่ะ :)