Saturday, July 30, 2011

・Shanghai ・ Three

เข้าวันที่สองกันแล้วค่ะ วันนี้เรา slow life กันมากๆ
เพราะลูกทัวร์ตื่นสายจัด นอนยาวถึงบ่ายโมงทีเดียว
กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็เลยเฉียดๆบ่ายสอง

มื้อเช้าวันนี้ เราทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปง่ายๆกันค่ะ
ที่เจ้าของบล๊อกเลือกมาเป็นบะหมีแห้ง แต่ก็มีน้ำซุปแยกมาให้ด้วย




เส้นบะหมี่ที่นี่ก็แปลกดีค่ะ เป็นเหมือนเส้นบะหมี่ 3 เส้นต่อกัน ส่วนรสชาติก็จืดๆ เค็มๆ มีเปรี้ยวจากผักดองสีเขียวๆนิดหน่อย




ออกจากโรงแรมเราก็ไป People square เพื่อที่จะไป Shanghai museum ค่ะ แต่รู้สึกว่าจะขึ้นมาผิดด้าน เราเลยมาโผล่ที่ People garden แต่ก็ไม่เป็นไร ถือโอกาสเดินเล่นในสวนไปพลางๆ ในสวนนี้มีพิพิธภัณฑ์ แล้วก็ร้านอาหารด้วยค่ะ ส่วนที่เป็น Hi-light จริงๆ ก็น่าจะเป็นสระบัวกลางสวน มีคนมานั่งเล่น ถ่ายรูปกันอยู่เต็มเลยเลย แอบเห็นคุณลุงคุณป้ามาเดทกันหลายคู่เลยล่ะ




นอกจากนี้ในสวนเค้ายังมีเครื่องเล่นด้วยนะ สังเกตว่าถึงอากาศจะร้อน แต่คนที่นี่เค้าก็นิยมมาสวนกันค่ะ เหมือนเป็นศูนย์กลางนะ มาเจอเพื่อน มาถ่ายรูป มานั่งเล่น มาทำกิจกรรมกัน




ใช้เวลาอยู่ในสวนพอสมควร เดินออกมาก็เจอร้านทาร์ตไข่ เลยแวะซื้อซะหน่อย กินแกล้มกับชาไข่มุก อร่อยดีค่ะ




เดินมาจนถึงหัวมุมถนน เจอแล้วค่า Shanghai museum อยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นมาแต่ไกลเลย กะว่าเดี๋ยวจะข้ามถนนไปตอนที่เดินถึงด้านหน้าแล้ว แต่ปรากฏว่า...


เค้าห้ามข้ามค่ะ เนื่องจากเป็นถนนใหญ่ ต้องข้ามจากหัวถนนเท่านั้น ฮือ... ก็เลยต้องเดินต่อไป ให้ถึงหัวถนนอีกฝั่งค่ะ



เจอคนใส่ couple tee ด้วยล่ะ น่ารักดี ที่นี่ก็ไม่แพ้เกาหลีนะเนี่ย




ผ่าน Grand Theater ด้วยล่ะ ตอนนี้เขากำลังแสดง Mama Mia กันอยู่ เขาว่าใช้เงินสร้างไปถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยที่เดียวค่ะ




ข้ามฝั่งมาได้แล้วจ้า ที่เห็นล่องลอยอยู่บนฟ้าเป็นว่าวปลาหมึกนะคะ เห็นอย่างนั้น พอเอาลงมาแล้วเป็นว่าวตัวใหญ่มากค่ะ ใหญ่เท่าๆคนเลยเน่อ




เดินมาอีกหน่อยก็มีคนกำลังให้อาหารนกกันค่ะ เจ้าของบล๊อกอยากเล่นบ้าง เลยไปซื้ออาหารนกมา ถามอยู่นานว่าเท่าไหร่ก็ไม่บอก ดึงแบงค์ 10 หยวนไปจากมือเราเฉย แล้วก็ทอนมา 5 หยวน พร้อมกับให้อาหารนกมา 5 ซอง คือ เค้าอยากได้ซองเดียวเองง่าาาาา แต่เหนื่อยเจรจา เลยเอาวะ กินกันให้ท้องแตกไปเลยแล้วกัน




กว่าจะผ่านตรงนี้มาได้ ก็ใช้เวลาอีกพอสมควร เพราะลูกทัวร์อยากถ่ายรูปนกที่กำลังกางปีกโผบินให้ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ฮ่า...

เดินมาจนถึงหน้า museum ตอน 4 โมงนิดๆ ปรากฏว่า "ปิด" ค่ะ คือ museum เนี่ย เค้าปิด 5 โมง แต่ให้เข้ารอบสุดท้ายได้ 4 โมงเย็น จุดนั้นโกรธลูกทัวร์จนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ลูกทัวร์หันมาถามว่าเอาไงต่อ ก็แบบ.. ไม่รู้โว้ยยยยย

สุดท้ายตกลงกันว่าจะไป xintiandi ออกจาก subway มาได้ ลูกทัวร์เดินไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปไหนกัน ต้องหาที่นั่ง ก็เลยคิดว่า อ่ะ งั้นก็กินข้าวเย็นแล้วกัน

เปิดไกด์บุคมา ได้ร้านนี้ค่ะ Guyi Hunan Restaurant คือหลังจากที่เซ็งๆมาทั้งวัน ร้านนี้ช่วยให้ fin ได้ค่ะ
อาหารอร่อยมากกกกก recommend dish เป็นพวกหม้อไฟ ซึ่งโต๊ะเจ้าของบล๊อกได้สั่งหม้อไฟซี่โครงหมูมา ซี่โครงหมูนุ่มสุดๆ ใช้ตะเคียบคีบหลุดอ่ะค่ะ ละลายในปากของจริง

แมงกระพรุนก็อร่อยมาก เย็นๆ เปรี้ยวนิดๆ กรุบๆ สดชื่นดีค่ะ

อีกสองจานเป็นปลาทอดซีอิ๊ว หวานๆ กรอบๆ กับผัดรากบัวค่ะ

ราคาปานกลางนะคะ ไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงมาก แต่เจ้าของบล๊อกจำราคาแม่นๆบ่ได้




จบจากมื้อนี้ ฝั่งตรงข้ามมีร้านขาย DVD ราคาไม่แพงค่ะ (แต่ไม่น่าจะเป็นของลิขสิทธิ์นะคะ) เป็นร้านตึกแถวเล็กๆค่ะ ถ้าจำไม่ผิด DVD หนัง ราคาแผ่นละ 9 หยวน แต่ถ้าเพลงจะแพงหน่อยค่ะ 18 หยวน เราทัศนศึกษากันอยู่ซักพัก ก็แวะเข้าซุปเปอร์ค่ะ เจ้าของบล๊อกกับลูกทัวร์หมายเลขหนึ่งชอบเดินซุปเปอร์มากค่ะ มันเหมือนได้เห็นวิถีชีวิตของคนมั้งคะ แล้วก็ได้เห็นของหลายๆอย่างที่บ้านเราไม่มี อย่างพวกขนม ไม่แน่ใจว่าคนที่นี่ชอบกินผักกันมากหรือไร เพราะมีเลย์รสแตงกวา และมะเขือเทศด้วย - -'

เจอขวดน้ำมันข้าวโพด (ขวดเล็ก) น่ารักดี





ช้อปปิ้งเสร็จขึ้น taxi กลับบ้านกันค่ะ taxi ที่เค้าจะมีกระจกใสครอบคนขับค่ะ แล้วที่นั่งด้านหลังมีจอ touch screen ให้กดเล่น ในนั้นก็จะมีข้อมูลท่องเที่ยวต่างๆ ถึงที่หมายแล้วก็จะมีใบเสร็จให้ด้วยค่ะ




ถึงบ้านแล้ว เจ้าของบล๊อกต้องขอคุยกับลูกทัวร์ ว่าสงสัยเราจะต้องแยกทางแล้วล่ะ ขืนเป็นอย่างนี้ท่าจะไม่ได้ไปไหนไกลเกินรัศมีโรงแรมแน่ๆ ฉะนั้นพรุ่งนี้ เจ้าของบล๊อกจะต้องเที่ยวคนเดียวแล้วจ้า

อย่าลืมตืดตามกันต่อนะคะ ข้างล่างเป็นน้องแมวที่โรงแรมค่ะ แอบพอยท์เท้าถ่ายรูปด้วยนะยะ :)


Saturday, July 23, 2011

・Shanghai ・ Two

เก็บของเรียบร้อย เราก็ไปเดินเที่ยวกันค่ะ
เริ่มจากอาหารมื้อแรกของเราที่ร้านอาหารใกล้ๆโรงแรม
วิธีสั่งนี่ก็ใช้จิ้มๆเอาเลยค่ะ จริงๆแล้วเจ้าของบล๊อกก็พอจะพูดจีนได้อยู่บ้าง แต่ที่ไม่พูดก็เพราะกลัวคอมโบกลับมาชุดใหญ่ค่ะ คือพูดได้ ฟังได้เป็นคำๆ แต่ถ้ามาแบบเป็นประโยคเนี่ย เกิด dead air แน่ๆค่ะ

จากการจิ้มๆของเราก็ได้อาหารมา 3 ชนิด คือเกี๊ยวซ่าทอด ปาท่องโก๋บิ๊กเบิ้มพร้อมน้ำจิ้มรสหวานๆเย็นๆ แล้วก็เส้นเล็กผัดค่ะ เมนูนี้อร่อยดี เสียแต่มันไปนิด แล้วก็แอบตะขิดตะขวงใจว่าเนื้อที่เค้าใส่มามันเนื้ออะไรกันน้า มันนิ่มกว่าปกติ แต่ก็คิดว่าไม่ถามดีกว่า เพราะไม่ค่อยอยากเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ ฮ่า..





ทานเสร็จแล้วก็ชมเมืองเรื่อยเปื่อยกันค่ะ ผ่านย่านนึงที่ขายผ้า กับผ้าลูกไม้สวยๆเยอะเลยค่ะ ราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ แอบถามมา ผ้าคอตต้อนเมตรละไม่เกิน 80 บาท





เดินไปเรื่อยๆจนไปถึงสวนอี้หยวนค่ะ ซึ่งกว่าจะเข้าถึงบริเวณสวนได้ก็งงๆกันอยู่พักใหญ่เหมือนกัน เพราะว่ารอบๆสวนจะเป็นร้านขายของเยอะเลยค่ะ ของที่ขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกของฝาก สำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ พอเราฝ่าด่านร้านขายของไปได้แล้ว ก็จะเจอทางเข้าสวนค่ะ ค่าเข้า 30 หยวน สวนนี้ก็เป็นการตกแต่งแบบจีนแท้เลยค่ะ

สวนนี้สร้างโดยขุนนางจีนในราชวงศ์หมิงชื่อผานหยุนต้วน ใช้เวลาก่อสร้างนาน18ปีคือราวปีพศ.2102-2120 เพื่อให้เป็นที่พำนักบั้นปลายชีวิตของพ่อแม่ แต่รู้สึกว่าพ่อแม่จะเสียชีวิตไปก่อนสร้างเสร็จนะคะ เมื่อเวลาผ่านไปสวนนี้ก็ได้รับผลกระทบหลายอย่าง มีการทำลาย แล้วก็มีการบูรณะต่อเติมมาตลอด 400 ปี ในปีพศ.2303 มีคหบดีผุ้ร่ำรวยได้ซื้อสวนนี้และใช้เวลา กว่า 20 ปีในการปรับปรุง ในช่วงสงครามฝิ่นสวนนี้ถูกทำลายอีกครั้ง จนกระทั่งปีพ.ศ.2499 จึงเริ่มมีการบูรณะใหม่ กระทั่งเปิดให้บริการสาธารณะชนเข้าชมในเดือนกันยายน พ.ศ.2504




ที่ชอบอย่างนึงคือสิงโตหินที่เป็นชายหญิงคู่กันน่ะค่ะ สิงโตตัวเมียปกติเค้าจะเลี้ยงลูกใช่มั้ยคะ ตรงทางเข้าลูกสิงโตก็จะเป็นสิงโตแบเบาะค่ะ พอเราเดินไปเรื่อยๆ ลูกเค้าก็โตขึ้นเรื่อยๆค่ะ คุณพ่อสิงโตตอนแรกก็จะขรึมๆหน่อย มองไปข้างหน้าตรงๆ พอตอนลูกโตขึ้น คุณพ่อก็เริ่มหันมามองด้วยสายตาเอ็นดู (อันนี้คิดไปเองรึเปล่าไม่รู้ :D)





ใช้เวลาอยู่ในสวนอยู่พอสมควร ก็ออกมาพักกินเสี่ยวหลงเปาด้านนอกสวนกันค่ะ




ร้านนี้ไกด์บุคหลายเล่มแนะนำ รสชาติใช้ได้ค่ะ แต่เราว่าที่ร้านเกี๊ยวจีนอร่อยกว่า แหะๆ
ไว้เดี๋ยวจะมารีวิวให้ดูกันในเอนทรี่ต่อๆไปนะคะ

ว่าแล้วก็เดินกลับมาทางเดิมเพื่อที่จะไปชมวิว The Bund กัน
ระหว่างทางก็แวะซื้อแตงโม ที่นี่เค้าจะผ่าแตงโมเป็นเสี้ยว เอาเปลือกออก แล้วก็เสียบไม้ให้เรา
แตงโมลูกใหญ่มาก แต่ไม่หวานเลย :b







เดินมาจนถึง The Bund เราก็รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ขึ้นมา
The Bund นี้อยู่ริมฝั่งแม่น้ำหวงผู่ มีความยาว 1.5 กิโลเมตร ซึ่งในอดีตบริเวณนี้เป็นท่าเรือจีนที่ใช้ติดต่อค้าขายกับต่างชาติ แต่ในความสวยงาม เบื้องหลังมันก็คือการสะท้อนภาพการกดขี่จากชาวตะวันตก เพราะคนจีนต้องถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานในการสร้าง เมื่อสร้างเสร็จ บริเวณนี้ก็เป็นที่อยู่ของชาวตะวันตก และห้ามคนจีน และหมาเข้าซะงั้น พูดแล้วชักจะขึ้น ฮ่าๆ ชมวิวกันต่อดีกว่า




ถ้าเรามองไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำหวงผู่ ก็จะเจอตึกสูงตระการตาเพียบเลยค่ะ ฝั่งนั้นเป็นฝั่งเมืองใหม่ เดี๋ยวเราจะข้ามไปฝั่งนั้นกันค่ะ เดินไปเรื่อยๆจนเกือบจะถึงรูปปั้นของ Chen Yi ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีคนแรกของเมืองเซี่ยงไฮ้ เราก็จะพบกับอุโมง ให้เดินลงไปเลย เพราะเราจะข้ามฝั่งแม่น้ำโดยใช้บริการ The Bund Sightseeing Tunnel กัน

การข้ามฝั่งแม่น้ำมีอยู่ 2 วิธีค่ะ คือการนั่งเรือข้ามฟาก ราคา 2 หยวน กับการข้ามทางอุโมงนี้ ซึ่งพี่สาวเจ้าของบล๊อกบอกว่าเลือกทางนี้เถิด เค้ามีแสงไฟเลเซอร์ปิ้วป้าวตระการตาสนนราคา 50 หยวนต่อเที่ยว เจ้าของบล๊อกก็เออออห่อหมกไปด้วย แต่เอิ่มมมม.... ระยะทางแสงไฟเลเซอร์ของพี่ท่านดูหลอกเด็กมากมาย จนชักจะอยากได้ 50 หยวนคืน แง...




ไหนๆก็ข้ามฝั่งมาแล้ว กิจกรรมต่อไปก็คือการขึ้นหอไข่มุกค่ะ หอไข่มุก หรือ Oriental Pearl Tower เป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์สูง 468 เมตร นับเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในเอเชียและสูงเป็นอันดับ 3 รองจากแคนาดาและรัสเซีย

เราเลือกซื้อแพคเกจแบบที่มี Dinner buffet ด้วย ราคา 298 หยวน เพื่อที่จะได้นั่งพักชมวิวกันยาวๆ บุฟเฟต์ที่นี่เปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น ยาวไปถึง 3 ทุ่มเลยค่ะ ก่อนขึ้นตึกจะต้องสแกนกระเป๋า ใครที่พกของเหลวมาต้องทิ้งนะจ๊ะ ซึ่งตอนที่ขึ้นไปทานอาหารนี่มันชวนปวดใจมาก เพราะราคาเครื่องดื่มข้างบนนี่แพงมหากาฬเลยทีเดียว โค้กซีโร่ กระป๋องละ 50 หยวน น้ำแร่เอเวียงขวดใหญ่ 80 หยวน
เรียกว่าต้องสั่งมาแค่พอจิบๆกันอาหารติดคอเท่านั้น





จุดเด่นอีกอย่างของร้านอาหารที่นี่คือพื้นเค้าจะหมุน 360 องศาเลย ทำให้เราได้เห็นวิวได้ครบ แต่ก็หมุนช้าๆนะคะ ไม่งั้นคงอ้วก ระดับความเร็วก็ประมาณ.. เจ้าของบล๊อกนั่งอยู่เกือบ 3 ชั่วโมง ก็ได้เห็นวิวประมาณ 1 รอบครึ่งน่ะค่ะ

อาหารด้านบนพอใช้ค่ะ มีทั้งหมด 3 ไลน์ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารจีน ทานเสร็จแล้ว ลงมาชั้นล่าง จะมีจุดชมวิวพื้นใส ให้คนใจกล้าเข้าไปถ่ายรูปเล่น เจ้าของบล๊อกไม่ไหวจริงๆค่ะ มองลงไปทีนี่หมดแรง แต่เห็นเด็กๆชอบกันม้ากกกก วิ่งเล่น กระโดด กระทืบกันน่าดู






ลงมาปั๊บ เราก็หารถกลับบ้านกันค่ะ แต่ taxi เค้าเรียกราคาเราโหดไปหน่อย เลยเปลี่ยนใจนั่งรถไฟกลับ ซึ่งระหว่างทางก็ได้ไปเจอแฟนคลับพี่บี้ ที่พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยปั๊บ เธอก็ทั้งร้องทั้งเต้นไม่หยุดเลยค่ะ น่าประทับใจแทนพี่บอยมาก ฮ่าๆ น่าเสียดายที่เรานั่งแค่ป้ายเดียว เลยไม่มีโอกาสได้คุยอะไรกันเยอะ จริงๆแล้วเธอก็ไม่เปิดโอกาสด้วยแหละ ถามชื่อ ถาม e-mail ไป ก็จะร้องแต่เพลงพี่บี้อย่างเดียว




วันแรกจบแล้วค่ะ ตามไปเที่ยวกันต่อในเอนทรี่ถัดไปนะจ๊ะ :)

ป.ล. อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่เจ้าของบล๊อกแลกเงิน (จาก Super Rich) ไป 1 หยวน ราคา 4.72 บาทนะจ๊ะ

Friday, July 15, 2011

・Shanghai ・ One

เนื่องจากแฟนเจ้าของบล๊อกได้รับเชิญจาก Supplier ไปเที่ยวเชียงรายค่ะ
ตามสไตล์เด็กขี้อิจฉา ก็อยากไปเที่ยวกับเค้าบ้าง เลยเกิดทริปเที่ยวด่วนทริปนี้ขึ้นมาค่ะ
โจทย์ของทริปนี้ก็คือ
  • มีเวลา 4 วัน
  • ต้องเป็นประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า หรือขอวีซ่าง่ายมากม๊ากกกก
  • ค่าครองชีพไม่แพง
  • ตั๋วเครื่องบินราคาไม่เกิน 15K หรือใกล้เคียง
หาไปหามา ประกอบกับเวลาเดินทางที่ลงตัวที่สุด ก็มาจบที่เซี่ยงไฮ้ค่ะ
ตอบโจทย์ได้หมดทั้ง 4 ข้อ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเค้าจะกระจุกตัวกัน ทำให้ไม่ต้องใช้เวลามาก,
ขอวีซ่าไปจีนด่วนๆ ใช้เวลาแค่วันเดียวค่ะ เอกสารที่ต้องใช้ก็มีแค่รูปถ่าย, ฟอร์มขอวีซ่า แล้วก็เงินค่ะ
ถ้าไปขอวีซ่าในวันเดียว แบบ Single Entry เป็นเงิน 2,200 บาท (ค่าวีซ่า 1,000 บาท + ค่าเร่งด่วน 1,200 บาท)
ค่าครองชีพก็ใกล้ๆกับที่เมืองไทยเลย และข้อสุดท้ายตั๋วเครื่องบินไป-กลับราคาประมาณ 16K (TG) ค่ะ

ว่าแล้วก็จัดการจองตั๋วเตรียมตัวโกกันเลย

อากาศที่เซี่ยงไฮ้ฤดูนี้เหมือนไทยเด๊ะๆเลยค่ะ ร้อนฝน เหมือนจนข้องใจตัวเองว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่.. ฮ่า
เพราะอากาศแบบนี้ ถ้าอยู่ประเทศไทย ฉันไม่มีทางออกมาเดินตามท้องถนนแบบนี้เด็ดขาด

โรงแรมที่เราจองอยู่ใกล้ๆกับ The Bund ค่ะ เดินทางสะดวก แต่ราคาก็แพงหน่อย (คืนละ 2 พันกว่าบาท ห้อง 3 คนนะคะ)




ถึงเวลาเดินทาง เจ้าของบล๊อกโชคดีค่ะ เจอเพื่อนอยู่ที่เคาน์เตอร์เช็คอินพอดี แถวยังช่วยจัดที่นั่งให้นอนไปสบายๆเลยค่ะ
จากกรุงเทพไปสนามบินนานาชาติผู่ตงที่เซี่ยงไฮ้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนะคะ เวลาที่เซี่ยงไฮ้จะเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมงค่ะ

รับกระเป๋าเรียบร้อยก็มาเลือกวิธีเข้าเมืองกันค่ะ ซึ่งเจ้าของบล๊อกขอให้บริการ Maglev ซะหน่อย
(Magnetic Levitation Transport รถไฟที่ใช้แรงแม่เหล็กเป็นพลังงานหลักในการเคลื่อนที่)
Maglev นี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 431 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียวค่ะ แต่วันที่เราไป เค้าวิ่งเร็วสุดแค่ 301 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจริงๆก็เร็วมากแล้วค่ะ ใช้เวลาแค่ 8 นาทีก็ถึงสถานีหลงหยางแล้ว






การเดินทางโดย Maglev เพื่อเข้าเมือง จะต้องนั่งรถไปลงที่สถานีหลงหยาง (Long yang) ก่อนแล้วจึงต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานีที่ต้องการค่ะ
ค่าตั๋วรถไฟก็ 50 หยวน แต่ถ้ามีตั๋วเครื่องบินที่เดินทางในวันนั้น จะเหลือ 40 หยวนค่ะ

เข้าเมืองได้แล้ว ก็ขอเข้าโรงแรมกันก่อนค่ะ แล้วเดี๋ยวค่อยตามไปเที่ยวกันต่อนะคะ :)

Tuesday, June 21, 2011

Restaurant review ・ Ramen Planet Mutsumiya ・



ได้ฤกษ์ไปทานซักทีค่ะ ร้านราเมน แพลนเนท มุสุมิยะ
เนื่องจากได้อ่านจากรีวิวในบล๊อก อร่อยศาสตร์ มาก่อน ประกอบกับเจ้าของบล๊อกเองก็ชอบทานราเมนมาก เลยคิดว่าจะต้องมาลองให้ได้
แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ :)

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ Seen Space ชั้น 2 ซอยทองหล่อ 13 ค่ะ
จริงๆแล้วในโครงการนี้มีร้านน่านั่งเยอะเลยค่ะ ที่เล็งๆไว้ก็มี Roast ที่คุณพลอย จริยะเวชเคยเขียนถึง
(เจ้าของบล๊อกเป็นแฟนพันธุ์แท้คุณพลอยเลยค่ะ :))
แล้วก็ยังมีไก่ทอด Bon Chon ที่รอต่อคิวอยู่ค่ะ

นอกจากจะมีร้านอาหารแล้ว ร้านเสื้อผ้า , Stationary ก็มีนะคะ
แต่วันนี้เจ้าของบล๊อกหิวแล้วค่ะ ขอพุ่งไปกินก่อน
ร้านราเมนนี้เปิดถึง 5 ทุ่มเลยนะคะ เอาใจสาวออฟฟิศอย่างเรามาก
ก็คิดดูว่ากว่าจะเลิกงานก็หกโมงแล้ว ถ้าต้องไปทำธุระปะปังอะไรก่อน แล้วร้านปิด 2 ทุ่ม ก็จบกัน
วันที่ไปทานที่ก็ไปหลังจากออกกำลังกายเสร็จค่ะ เรียกว่าเอาแคลอรี่ออกไป แล้วก็เอากลับเข้ามาอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว ฮ่าๆ




บรรยากาศในร้านจะสะอาด สว่างๆค่ะ ตกแต่งด้วยภาพวิวทิวทัศน์ฮอกไกโด ทำหน้าที่ชวนเที่ยวญี่ปุ่นไปในตัว
วันนี้เราสั่งกันมา 3 อย่าง
จานแรก Black-Tonkotsu-Ramen (190 บาท) ชามนี้รสชาติเข้มข้น กลมกล่อมค่ะ
แต่ข้อดีคือไม่เลี่ยน อย่างยามาโกย่า ซึ่งจริงๆแล้วเจ้าของบล๊อกก็ชอบยามาโกย่ามาก แต่พอกินไปซักครึ่งทางจะเริ่มทรมานนิดๆ เพราะความเลี่ยน แม้จะสั่งพริกโทบังจันมาช่วยแล้วก็ตาม
ราเมนที่นี่มีขนาดเดียวนะคะ แต่คิดว่าขนาดไม่ใหญ่เกินไปค่ะ ทานหมดได้สบายๆ




ต่อมาเป็น Kimuchi-Ramen (210 บาท) กิมจิรสไม่จัดมากค่ะ




ที่เลิฟสุดคือเกี๊ยวซ่า (100 บาท) เลยค่ะ แป้งบางนุ่ม ส่วนที่จี่กระทะมาก็กรอบ
ไส้หมูข้างในได้รสน้ำซุปที่ออกจากหมู อร่อยๆ :)



เครื่องดื่มวันนี้เป็นชาเขียวร้อน Refill แก้วละ 35 บาท
VAT 7% รวมอยู่ในราคาอาหารแล้วค่ะ ไม่มี Service Charge

ต้องขอเตือนก่อนว่าที่จอดรถในโครงการน้อยมาก ซึ่งพนักงานโบกรถจะให้ไปจอดที่อาคาร Home Place แต่ที่นู่นคิดค่าจอดตั้งชั่วโมงละ 100 บาท (Stamp ที่ทางร้าน Stamp ให้ไม่สามารถใช้ได้นะคะ)
เราต้องไปบอกพนักงานโบกรถน่ะค่ะ เค้าก็จะ Stamp อีกอย่างให้เรา แต่ก็ต้องจ่ายเงินให้ Seen Space 60 บาทค่ะ
ฉะนั้น แนะนำว่าจอดที่ J-Avenue ถูกกว่าหลายเลยจ้า :)

Saturday, May 28, 2011

・Spinach-Gruyère Gateau de Crepes ・

Today I wish to have crepe as my breakfast.
But when we do crepe, we usually got a large batch so we'll have a lot leftover crepe.
So I was trying to find a recipe that uses many crepes and I found this one from Martha Stewart's website.
A Spinach-Gruyère Gateau de Crepes; just like crepe cake but switch whipped cream to bechamel sauce and replace fruit with cooked spinach and cover with Gruyère cheese.
Ummm... what a perfect combination.

Wish you could try this one.
Please follow the direction here for the crepe and here for the sauce and spinach.





วันดีคืนดี เจ้าของบล๊อกก็อยากทานเครปค่ะ
แต่ไอ้จะทำเครป โปะไข่ โปะเนื้อสัตว์ ก็ดูจะธรรมดาไปซักหน่อย
อีกอย่าง ทำเครปทีนึง เราก็ได้เครปหลายแผ่นเลย จะทานแผ่นสองแผ่น เหลือก็เสียดายอ่ะค่ะ
มื้ออื่นก็อยากทานอย่างอื่นแล้ว (แนะ.. เรื่องมากชะมัด)
หาสูตรไปมาก็ไปเจอสูตรนี้เข้าค่ะ
เป็นสูตรของป้ามาร์ธา
เป็นเครปเค้กค่ะ เลยได้ใช้เครปเยอะสมใจอยาก
แต่แทนที่เราจะปาดครีมทำเป็นของหวานเหมือนปกติ
ครั้งนี้เราโปะซอส bechamel แล้วก็ผักขมลงไปแทนค่ะ
อร่อยทีเดียวเชียวล่ะ
ลองดูเน่อ

วิธทำแป้งเครป ตามไป ที่นี่ นะคะ (เอามาจากตอนที่ทำ Crepe Suzette น่ะค่ะ แต่ก็มาจากป้าเค้านั่นแหละ)
ส่วนวิธีทำซอสกับผักขม ไปที่ เวปป้ามาร์ธา เลยค่า :D




Enjoy :)

Friday, May 20, 2011

・Banana cake with chocolate frosting ・

Nearby my house, there is a cooker's utensils store called "Verasu".
I like this place, moreover utensils they have demonstration cooking class every Saturday.
After watching the cooking demonstration, we will find many of fresh bake donuts/waffles to serve us. ('Coz they want to sell their waffle/donut makers Haha..)
And they also have cafe that all the dessert made from spelt flour to prevent gluten.
And they are delicious. Ummm... :)

Sometimes I don't participate in the demonstration class but I only just buy the recipe from the counter (only 10 Baht each).
But I suggest that being participated will profit you more because demonstrator usually tells techniques / minor details those are not publish in the recipe sheet.

Recipe I use today is also from Verasu class.
I did this because one of my colleague requested for dessert that has banana and chocolate in it.

The cake is softer than normal butter cake and it go along well with chocolate frosting.
(My mistake is I used salted butter and it makes frosting taste salty, some like it, but I would not suggest that anyway.)


เจ้าของบล๊อกชอบไปเที่ยวเล่นที่วีรสุค่ะ
ที่ชอบก็เพราะว่าดูเป็นร้านค้าเฉพาะทาง สำหรับคนที่ชอบทำอาหาร อยากได้อุปกรณ์อะไรก็มีหมด
ทุกวันเสาร์มีการสอนทำอาหาร/ขนมจากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆของร้าน
ดูสาธิตจบ ลงมาเดินเล่น ก็มีขนมที่ออกจากเตาใหม่ๆ ทั้งวาฟเฟิล โดนัท ให้กินกันเพลินๆ
แล้วถึงจะไม่ว่างดูการสาธิต เราก็พุ่งเข้าไปขอซื้อสูตรจากพนักงานที่เคาน์เตอร์ได้เลยค่ะ สูตรละ 10 บาทเท่านั้น (แต่แนะนำว่าถ้าไปดูสาธิตเองจะดีกว่าค่ะ เพราะบางทีพี่ๆเค้าก็มีเทคนิคมาบอกกัน)

สูตรเค้าแต่ละสูตรก็ใช้ได้เลยค่ะ ลองชิมมาหลายแล้ว แต่ข้อเสีย (หรือเปล่า) ก็คือสูตรเค้าค่อนข้างใหญ่
บวกกับเจ้าของบล๊อกชอบทำชิ้นเล็กๆน่ะค่ะ เลยได้จำนวนมหาศาลเชียว พอทำเสร็จก็ต้องมานั่งคิดว่าจะแบ่งใครบ้างดีน้า
(ส่วนใหญ่พี่ๆที่ออฟฟิศเนี่ยแหละค่ะ ที่จะกลายเป็นเหยื่อ ;b)

สูตรวันนี้ก็มาจากวีรสุค่ะ
เลือกมาทำก็เพราะว่าพี่ที่ออฟฟิศรีเควสท์เค้กอะไรก็ได้ที่มีกล้วย และช็อกโกแลตเป็นส่วนประกอบหลัก
เนื้อเค้กเบาเกินกว่าที่จะเชื่อว่าเป็นเค้กเนยค่ะ Frosting ก็เข้ากั๊น เข้ากันกับเค้ก
(ครั้งนี้เจ้าของบล๊อกดันขี้เกียจออกไปซื้อเนยจืด เลยใช้เนยเค็มที่มีอยู่ในบ้านไปก่อน เลยกลายเป็น Frosting รสออกเค็มซะงั้น แต่พี่คนนึงบอกว่าดี ไม่เลี่ยน อืม.. ก็นานาจิตตังเนอะ กลายเป็นดีไป แต่เจ้าของบล๊อกก็แนะนำว่าอย่าใช้เนยเค็มเลยเน่อ)

ถ้าเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลยเจ้า


・Banana cake with chocolate frosting ・
Makes 1 28-c.m. round cake pan / 20 mini cakes



Ingredients: Banana cake

Cake flour 240 grams
Baking powder 1 3/4 teaspoon
Baking soda 1 1/4 teaspoon
Salt 3/4 teaspoon
Castor unrefined suger 180 grams
Unsalted butter 140 grams
Mashed ripe banana 200 grams (about 2-3 bananas)
Egg 3
Yogurt (natural flavor) 1/2 cup
Vanilla 1 1/4 teaspoon


ส่วนผสม: เค้กกล้วยหอม

แป้งเค้ก 240 กรัม
ผงฟู 1 3/4 ช้อนชา
ผงโซดา 1 1/4 ช้อนชา
เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
น้ำตาลทรายสีรำป่น 180 กรัม
เนยสด (จืด) 140 กรัม
กล้วยหอมสุกบด 200 กรัม (ประมาณ 2-3 ลูก)
ไข่ไก่ (เบอร์ 2) 3 ฟอง
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วยตวง
วานิลลา 1 1/4 ช้อนชา


Directions: Banana cake

1. Sifting the flour before doing measurement, combine flour with baking powder, baking soda and salt. Set aside.
2. Beating butter until fluffy, gradually add sugar and banana, mix well.
3. Add egg, one at a time.
4. Add flour --> yogurt --> flour, mix to just combined.
5. Pour the batter in prepared cake pan (28 cm. diameter).
6. Baking at 150°C about 15 minutes then decrease heat to 140°C about 25-30 minutes until done. Leave on wire rack.

วิธีทำ: เค้กกล้วยหอม

1. ร่อนแป้งก่อนตวง 1 ครั้ง แล้วร่อนรวมกับผงฟู ผงโซดา เกลือป่นเข้าด้วยกัน พักไว้
2. ตีเนยให้ขึ้นฟูเป็นครีมด้วยเครื่องตีไข่ ระดับความเร็วปานกลาง ค่อยๆใส่น้ำตาลทรายจนหมด ใส่กล้วยหอม ตีต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี
3. ใส่ไข่ไก่ลงทีละฟอง ตีให้เข้ากันทุกครั้ง ก่อนใส่ไข่ฟองต่อไป
4. ใส่แป้งสลับกับโยเกิร์ตที่ผสมวานิลลา โดยแบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน โยเกิร์ต 1 ส่วน วิธีผสมใช้ความเร็วต่ำสุด ตะล่อมพอเข้ากัน
5. เทส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์กลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 28 ซ.ม. ที่รองด้วยกระดาษไขและทาเนยขาวเตรียมไว้
6. นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 150°C เวลา 15 นาที แล้วลดไฟเหลือ 140°C อบต่ออีกประมาณ 25-30 นาที หรือจนกระทั่งสุกเหลือง นำเค้กออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็น


Ingredients: Chocolate Frosting

Dark chocolate 100 grams
Icing sugar 200 grams
Whipping cream 1/4 cup
Salt 1/4 teaspoon
Unsalted butter 227 grams
Vanilla 1 teaspoon


ส่วนผสม: ครีมช็อกโกแลต

Dark chocolate 100 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง 200 กรัม
วิปปิ้งครีม/นมข้นจืด 1/4 ถ้วย
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
เนยสด (จืด) 227 กรัม
วานิลลา 1 ช้อนชา


Directions: Chocolate frosting

1. In the heatproof bowl, mixing dark chocolate, icing sugar, whipping cream and salt, put in microwave using high heat (800-900 watt) about 1 1/2 minute. Whisk until smooth, add vanilla. Leave to cool.
2.Beating butter until fluffy, gradually add chocolate mixture in the butter, mix well.

วิธีทำ: ครีมช็อกโกแลต


1. นำ Dark chocolate น้ำตาลไอซิ่ง วิปปิ้งครีม เกลือป่น ใส่ในถ้วยตวงของเหลวขนาด 2 ลิตร นำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้ไฟ High (800-900 วัตต์) เวลา 1 1/2 นาที ใช้ตะกร้อค่อยๆคนให้ส่วนผสมเนียน ใส่วานิลลา พักทิ้งไว้ให้เย็น
2. ตีเนยสดให้ขึ้นฟูเป็นครีมด้วยเครื่องตีไข่ ระดับความเร็วปานกลาง ค่อยๆเทส่วนผสมข้อ 1 ลงตีต่อจนส่วนผสมเข้ากันดี



Decoration
If you do round cake, slice cake to 2 parts, add thin layer of frosting. Place the other half above and cover with chocolate frosting. Decorating with white/dark chocolate/banana/cherries as you like.
(I did use chocolate and sun-dried banana to decorate.)

ประกอบร่าง

ใช้ที่แบ่งเค้กแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ปาดครีมช็อกโกแลตบางๆให้ทั่วชิ้นเค้ก นำเค้กอีกชิ้นวางซ้อนทับ ปาดครีมช็อกโกแลตให้ทั่วทั้งชิ้นเค้ก แต่งหน้าด้วยช็อกโกแลตขาวและดำ โดยบีบเป็นเส้นสลับกันให้สวยงาม ตกแต่งด้วยกล้วยหอมหั่น และเชอร์รี่แดงให้สวยงาม
(สำหรับชิ้นที่ถ่ายรูปมาอวด เจ้าของบล๊อกทำเป็นคัพเค้ก บีบหน้าด้วย choc
olate frosting แล้วแต่งหน้าด้วยกล้วยตากค่ะ)




Enjoy :)

Sunday, May 15, 2011

・White chocolate mousse and raspberry with yellow sponge cake ・

I love the mousse, I love the cake, I love the way it combine with raspberry, I love every single combination of this dessert. :)

Normally I don't do any complicated or many-steps cake or cake with frosting because I'm too lazy. Haha...
One day, my friend ask me to do any cake for her. Anything that I would like to do.
So I think why won't I try something new and finally I came up with this dessert.

All of my friends love it. So I suggest you to try. :)
I used recipe from The Sono Baking Company Cookbook.


ก็อย่างที่เห็นกันจากในบล๊อกค่ะ เจ้าของบล๊อกเป็นคนขี้เกียจ (ยอมรับอย่างไม่อายเลยนะยะ - -')
เวลาทำเค้กก็เลยไม่ค่อยขอบทำเค้กที่มันมีหลายสเตป หรือเค้กที่ต้องมีครีมทั้งหลาย
มาวันนึง เพื่อนมาขอให้ทำเค้กให้ค่ะ เค้กอะไรก็ได้ ก็เลยคิดว่า เออ.. เราน่าจะทำอะไรใหม่ๆบ้างเนอะ
ลองทำแบบยุ่งนิดๆดูบ้างก็ดี จะได้เป็นการฝึกฝีมือไปในตัว
เลยมาความหาสูตรจากหนังสือทำขนมกองพะเนินที่มีอยู่ค่ะ

แล้วก็มาพบกับสูตรจากหนังสือเล่มนี้ ทาด้า...




เอาจริงๆแล้วก็ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่หรอกค่ะ กลัวไปเองทั้งน้านนนน
เลยอยากจะชวนให้ลองทำกันดูนะคะ
เหยื่อทุกคนที่ได้ชิม รับประกันว่าอร่อยค่า :D


Yellow Sponge Cake
Makes: 1 9-inch cake




Ingredient

3/4 cup cake flour
1/2 cup cornstarch
4 large eggs, at room temperature
4 large egg yolks, at room temperature
2/3 cup sugar
1 tsp. coarse salt
1 tbsp. pure vanilla extract
1 cup vegetable oil


ส่วนผสม

แป้งเค้ก 3/4 ถ้วย
แป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย
ไข่ 4 ฟอง (อุณหภูมิห้อง)
ไข่แดง 4 ฟอง (อุณหภูมิห้อง)
น้ำตาล 2/3 ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนชา
วานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ถ้วย


Directions:

1. Set the oven rack in the middle position. Preheat the oven to 375*F. Spray a 9 by 2-inch (or 9 by 3-inch) round cake pan with vegetable spray. Line a baking sheet with parchment paper or a nonstick silicone baking mat; set aside.

2. In a medium bowl, sift together the flour and cornstarch; set aside. In the bowl of a standing mixer fitted with the whisk attachment, beat the whole eggs, the yolks, the sugar, salt, and the vanilla on high speed until thick and pale yellow colored, and the mixture holds a thick ribbon when the whisk is lifted from the bowl, 7 to 8 minutes.

3. Remove the bowl from the stand. Add the dry ingredients and quickly and gently fold them into the batter with a rubber spatula. Gradually add (drizzling, if possible) the oil, while folding.

4. Pour the batter into the prepared cake pan, set it on the prepared baking sheet, and bake until a tester comes out clean when inserted into the center of the cake 25 to 30 minutes.

5. Remove from the oven and turn the cake out immediately on a wire rack (don't let it cool in the pan, as the steam may collapse it). Let cool completely, at least 1 hour.



วิธีทำ

1. อุ่นเตาอบที่ 190°C เตรียมพิมพ์ด้วยสเปรย์น้ำมันลงบนพิมพ์ แล้วรองด้วยกระดาษรองอบ

2. ร่อนแป้งและแป้งข้าวโพดเข้ากัน พักไว้ หยิบไข่ ไข่แดง น้ำตาล เกลือ วานิลลา มาผสมกัน ตีด้วยเครื่องตีไข่ไฟฟ้าความเร็วสูงจนข้น และสีอ่อนลง (Ribbon Stage) ประมาณ 7-8 นาที

3. ใส่ส่วนผสมแห้ง แล้ว fold เบาๆ ค่อยๆเพิ่มน้ำมันขณะ fold

4. เทส่วนผสมใส่พิมพ์ อบประมาณ 25 นาที จนสุก

5. นำเค้กออกจากเตาพักบนตะแกรงทันที อย่าปล่อยให้เย็นในพิมพ์นะคะ เพราะไอน้ำจะทำให้เค้กยุบค่ะ รอให้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ



White Chocolate Mousse and Raspberry

Serve: 6



Ingredients

1 1/2 cups heavy cream

1/2 vanilla bean, cut in half lengthwise and scrapped, or 1 1/2 teaspoons pure vanilla extract

6 ounces white chocolate, chopped

4 large egg whites at room temperature

1/4 cup sugar

1 to 1 1/2 cup raspberries



ส่วนผสม

1 1/2 เฮฟวีครีม (เจ้าของบล๊อกใช้วิปปิ้งครีมแทนค่ะ)
ก้านวานิลลา 1/2 ก้าน ผ่าตามยาว แล้วขูดเมล็ดออกมานะคะ หรือใช้ vanilla extract 1 1/2 ช้อนชาค่ะ
White chocolate ประมาณ 170 กรัม
ไข่ขาว 4 ฟองที่อุณหภูมิห้อง
น้ำตาล 1/4 ถ้วย
ราสพ์เบอร์รี่ 1 ถึง 1 1/2 ถ้วย


Directions

1. In a small saucepan, bring 1/2 cup of the cream to simmer with the vanilla bean and seeds, if using. Pour the cream over the white chocolate in a heatproof bowl and let stand for 5 minutes to melt Remove the vanilla bean, if using Stir until smooth. Let cool. Stir in the vanilla extract, if using.
2. Bring 1 inch of water to a simmer in the bottom of a double boiler, set it over (not in) the simmering water, and whisk to dissolve the sugar just until it melts, 1 to 2 minutes. (The mixture should feel just warm to the touch, and not gritty.)
3.Transfer to a bowl of a standing mixer fitted with the whisk attachment and beat until stiff peaks form Whisk about one-quarter of the meringue into the cooled chocolate mixture to lighten it, then fold in the rest with a rubber spatula.
4. Add the remaining 1 cup cream to the mixture bowl, and beat with the whisk attachment until medium peaks form. Gently fold into the white chocolate mixture. Cover the mousse with plastic wrap and refrigerate overnight. (But I didn't just wait for the cake to cool and then I do the assemble.)


วิธีทำ

1. นำครีม 1/2 ถ้วยตั้งไฟ ใส่เมล็ดวานิลลากับก้านวานิลลาลงไป พอเดือดปุดๆ ก็เทใส่ white chocolate ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีให้ white chocolate ละลาย เอาก้านวานิลลาออก คนจนเข้ากัน ถ้าใช้ vanilla extract ก็ใส่ตอนนี้เลยจ้า
2. เอาน้ำใส่หม้อ สูงประมาณ 1 นิ้ว นำไปต้ม ด้านบนวางถ้วย (Double boiler) ผสมน้ำตาลกับไข่ขาวในถ้วย คนจนน้ำตาลละลาย
3. เปลี่ยนไข่ขาวมาใส่โถ ตีจนตั้งยอดแข็ง แบ่งมา 1/4 ใส่ในส่วนผสม white chocolate ที่เย็นแล้ว เมื่อเข้ากันจึงผสมส่วนที่เหลือ
4. ตีครีมที่เหลืออีก 1 ถ้วยจนตั้งยอดกลาง ค่อยๆ fold ในส่วนผสม white chocolate คลุมด้วยพลาสติก wrap แช่เย็น 1 คืน (แต่เจ้าของบล๊อกไม่ได้แช่ถึง 1 คืนน่ะค่ะ พอเค้กเย็น ก็เอามาประกอบร่างเลย)


Assemble

Layer into individual cup, starting with a layer of sponge cake that I already cut to circle shape, followed by a layer of mousse and raspberries. Repeat one more layer of each, and top with raspberry. Serve chilled.


ประกอบร่าง

เจ้าของบล๊อกทำใส่ถ้วยนะคะ ทานง่ายดี เอาเค้กที่ตัดเป็นวงกลมไว้แล้ว วางลงไปที่ก้น ตามด้วยมูส และราสพ์เบอร์รี่ ทำซ้ำจนเต็มถ้วยค่ะ สุดท้ายโปะด้วยมูส และราสพ์เบอรร์รี่ ทานเย็นๆนะคะ เริ่ดมั่กส์ :)


Enjoy :)