Saturday, May 5, 2012

• ขอนแก่น • สาม

ตอนแรกตั้งใจว่าเช้านี้จะไปพิพิทธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่กาฬสินธุ์ แต่ปรากฏว่าโดนรีสอร์ทดูดค่ะ ทานอาหารเช้าเสร็จก็นอนเกลือกกลิ้งซะยาวเลย อาหารเช้าที่นี่เป็นชุดค่ะ มีให้เลือก 3 ชุด คือ American breakfast, ข้าวต้มกุ้ง แล้วก็ชุดเวียดนามค่ะ เราเลือกไว้ล่วงหน้า เช้ามาพนักงานก็จะเอามาเสิร์ฟที่สวนข้างห้องเรา

เจ้าของบล็อกเลือกชุดเวียดนาม ส่วนคุณแฟนเลือกชุดข้าวต้มกุ้ง ชุดเวียดนามก็คือไข่กระทะ แล้วก็ขนมปังไส้กุนเชียงกับหมูยอค่ะ แต่ที่กรี๊ดมากคือชุดข้าวต้มค่ะ เค้าแยกเครื่องแยกผักมาให้ใส่ตามใจชอบ น่ารักเชียว ทั้งสองชุดเสิร์ฟพร้อมน้ำสับปะรดปั่น มะม่วงสุก แล้วก็ชา หรือกาแฟ คุณแฟนสั่งคาปูชิโน่ (ล่ะมั้ง) เขาว่าอร่อยนะ





ออกจากที่พักก็เกือบเที่ยงแล้วค่ะ ก็เลยแวะทานอาหารกลางวันระหว่างทาง และในเมื่อเราไปดูสัตว์ในอดีตคือไดโนเสาร์ไม่ทัน ก็เปลี่ยนมาดูสัตว์ยุคปัจจุบันกันแทนแล้วกัน

อ่ะแน้... งงล่ะซี้ ขอนแก่นก็มีสวนสัตว์นะเอ้อ อยู่ที่อำเภอเขาสวนกวางจ้า แล้วก็ไม่ได้มีแต่ไก่นะฮะ (แต่ทางเข้าสวนสัตว์มีร้านไก่ย่างเรียงเป็นตับเลยฮะ)


ขับรถไปตามถนนมิตรภาพนะคะ ประมาณ 50 นาทีจากตัวเมือง ตรงๆ ยาวๆ เลยค่ะ สวนสัตว์จะอยู่ขวามือ ริมถนนเลย เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ แล้วขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เรียกว่าลึกลับซับซ้อนพอสมควร แต่ก็มีป้ายบอกทางอยู่เป็นระยะๆค่ะ










ถึงลานจอดรถก็จะมีให้เลือก 2 ชอยส์ ก็คือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เดินชมสัตว์ด้วยตัวเอง หรือพึ่งตัวช่วย คือเช่ารถกอล์ฟชมสัตว์

ต้องขออธิบายก่อนว่าสวนสัตว์เขาสวนกวางนี้กว้างทีเดียวค่ะ แล้วด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขา บวกกับอากาศหน้าร้อนเช่นนี้ คือ เอาเป็นว่า ถ้าเดินก็แฮ่กอ่ะค่ะ

ไวเท่าความคิด เจ้าของบล็อกพุ่งไปเช่ารถกอล์ฟทันที สนนราคาอยู่ที่ 300 บาทต่อชั่วโมง แต่ถ้าครึ่งชั่วโมงคิด 200 บาทนะจ๊ะ และยังมีค่ามัดจำอีก 200 บาทด้วย
เช่ารถเสร็จก็ . . .

งง ค่ะ

เพราะไม่รู้จะไปทางไหน ไม่มีแผนที่อะไรใดๆทั้งสิ้น คาดว่าทางคณะจัดทำสวนสัตว์ต้องการให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ฝึก skill ดมกลิ่นเอาว่าทางไหนน่าจะมีสัตว์อะไรอยู่ทางไหนบ้าง แต่เนื่องจากเราเห็นหมูป่าวิ่งไปมา เราเลยตัดสินใจว่าจะเริ่มจากการตามรอยหมูป่ากันก่อน

ซึ่งจากการขับรถไล่หมูป่าอยู่ซักพักก็ไปเจอกับกรงค่ะ แต่เอิ่ม.. เป็นกรงเนื้อทรายนะคะ คือเค้าอยู่ด้วยกันอ่ะค่ะ


ตามวรรณคดี เขาว่าคนตาสวยต้องเหมือนตากวาง ก็จริงนะเอ้อ ดูสิ กิ๊งเชียว


วนรถมาฝั่งตรงข้ามจะเจอกับกรงของจิงโจ้ที่หน้าพี่เค้าดูเพลียมากๆ 


เราจอดรถลงเดินกันค่ะ ถัดจากพี่จิงโจ้มานิดเดียวขอเป็นอาคารเล็กๆที่มีหมีขออยู่ เราเดินเลยไปอีกค่ะ ก็มาเจอกับ ความพิเศษของสวนสัตว์นี้ ก็คือ Skywalk จ้า.. เปิดโอกาสให้เราชื่นชมสัตว์จากมุมสูง(มากกกก) ด้านล่างจะเป็นสัตว์แอฟริกา คือยีราฟ ม้าลาย แล้วก็นกกระจอกเทศ ซึ่งดูจะเป็นสัตว์ไม่กี่ประเภทในสวนสัตว์นี้ที่ไม่เพลียเท่าไหร่





ดูสัตว์แอฟริกาจนสาแก่ใจก็เดินกลับลงมา แล้ววนรถกลับไปหาพี่จิงโจ้อีกครั้ง ข้างๆพี่จิงโจ้เป็นกรงอูฐ ลา ม้า ฬ่อ ค่ะ และถ้าลึกเค้าไปก็จะเป็นกวางต่างๆ ซึ่งถึงตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเท่าไหร่แล้ว เพราะว่ามาค้นพบสัตว์ที่เหลือเอาเมื่อเวลาใกล้หมดค่ะ เลยได้แต่วนรถผ่านๆ น่าเสียดายนะคะ ถ้ามีแผนที่เราคงจัดการเวลาได้ดีกว่านี้ แล้วก็ไม่ต้องวนๆงงๆอยู่นานเลย

ที่สยองเล็กน้อยคือ เขาจะมีกรงที่ทำเป็นรูปก้อนหินน่ะค่ะ วางอยู่รายทาง ซึ่งไอ้กรงเหล่านี้เนี่ย ส่วนของตาข่ายมันขาดไปหมดแล้วล่ะค่ะ ก็คุยกับคุณแฟนว่าจะเป็นกรงอะไรน้าาา ซึ่งเราดูแล้วก็รู้สึกว่า layout แบบนี้ มันน่าจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานซักอย่างน่า เพราะขนาดกรงไม่สูง ไม่ใหญ่ มีกิ่งไม้ปักอยู่พอให้เลื้อยเพลินๆได้ พอดีกับที่หันไปเจอกรงนึงที่ยังมีเจ้าของอยู่ในนั้น ก็กระจ่างเลยค่ะ เป็นกรงงู (>.<) ที่ยังเหลืออยู่คือพี่เหลือม แต่ไม่รู้ว่าพี่ๆกรงอื่นนี่เค้าไม่อยู่ในกรงแล้วเนี่ย เค้าเป็นใครกันบ้าง แล้วพี่เค้าจะยังซุ่มอยู่แถวนี้มั้ย เจ้าของบล็อกเลยจ้ำลืมร้อนไปเลย

ออกจากสวนสัตว์เราขับรถไปที่สนามบินก่อนค่ะ เพราะว่าได้เวลาคืนรถพอดี แต่พอหลังจากคืนรถแล้วสิคะ จ๋อยเลย เพราะ flight 2 ทุ่มแน่ะ แถมสนามบินก็คงมีนโยบายประหยัดไฟ ปิดไฟมืดเลยค่ะ เพราะไม่มีผู้โดยสารเข้าออกช่วงเวลานั้น ต้องรบกวนคุณแฟนโทรหาเพื่อนให้ช่วยพาไปทานข้าวข้างนอก แล้วก็ฆ่าเวลาไปในตัว และเนื่องจากทริปนี้เจ้าของบล็อกยังไม่ได้ทานส้มตำเลย เราก็เลยมาจบที่ร้าน วนิดารสวิเศษค่ะ ราคาไม่แพงนะคะ ทาน 3 คน 700 กว่าบาท มีส้มตำโคราช ส้มตำไทย ต้มไก่บ้าน ปลานึ่ง น้ำตกหมู หมูทอด ไก่บ้านย่าง ข้าวเหนียว (ไม่ต้องตกใจนะคะ ว่ากินอะไรกันเยอะขนาดนั้น อาหารเค้าจานเล็กๆน่ะค่ะ)  ส่วนรสชาติก็กลางๆค่ะ ไม่ได้จัดจ้านอะไร เห็นเพื่อนคุณแฟนบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านนี้ก็จะไม่ใช่คนท้องถิ่นน่ะค่ะ

จากนั้นก็แวะซื้อของฝาก แล้วก็กลับมาที่สนามบินค่ะ คราวนี้สนามบินเปิดไฟสว่างแล้ว ถึงสุวรรณภูมิก็นั่ง Airport Link กลับบ้านค่ะ แต่อย่างที่บอกไปว่าเจ้าของบล็อกซื้อตั๋วแบบ Round trip ไว้ ก็เลยจะต้องนั่งสาย Express Line ซึ่งตอนไปถึง รถก็เพิ่งออกไปเลยค่ะ ต้องนั่งรอรถขบวนใหม่อีกครึ่งชั่วโมง กลายเป็นว่าช้ากว่านั่ง City Line กลับบ้านซะอีก แถมตอนนั้นก็ดึกพอควร จะ Shut down ตัวเองให้ได้ เอาเป็นว่าถ้าใครรีบๆก็ซื้อเป็นตั๋วเที่ยวเดียวไป อาจจะช่วยให้ control เวลาได้ดีกว่านะคะ

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณคุณแฟนที่ช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้หลายๆอย่าง รวมถึงความคิดที่อยากจะพาเจ้าของบล็อกไปเที่ยวด้วย แล้วก็เพื่อนคุณแฟนที่พาไปทานอาหารด้วยนะคะ ขอบคุณแฟนบล็อกด้วยที่ตามมาเที่ยวด้วยกัน (ใครเค้าเป็นแฟนบล็อกหล่อนยะ เค้าแค่ search google แล้วหลวมตัวมาอ่านหรอก ;p) ไว้ไปเที่ยวกันใหม่ค่ะ :)

No comments:

Post a Comment